วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

รู้จักกับตัวเองก่อน เข้าสนามรบ ^^

    วันนี้ว่างๆครับวันศุกร์ไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับเขาเลยมานั่ง เขียนบทความเผื่อจะมีคนเข้ามาอ่านครับ ^^ วันนี้ผมขอนำเสนอหัวข้อ การรู้จักกับตนเอง คือรู้ว่าตัวเองมีลักษณะนิสัยอย่างไรอ๊าครับ เหมือนที่เขาบอกรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนอื่นเรามารู้เราก่อนดีกว่า ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องรู้ก่อนลงทุนเลย ( ไม่งั้นอาจเกิดอาการเมาหมัดได้นะครับผมขอเตือน ฮ่าๆ เพราะโดนมาแล้ว อิๆ ) ผมแนะนำให้ไปหาหนังสืออ่านนะครับซึ่งก็มีอยู่แยะแต่ที่แนะนำแบบ มาตรฐานง่ายๆหน่อย ก็ของ ตลาดหลักทรัพย์ครับมีทั้งหมด 4 เล่ม ค่อยๆอ่าน งั้นผมขอย่อมาเป็นหัวข้อให้น๊ะ เผื่อเราจะได้กลับไปคิดบ้างว่าเราเหมาะกับการลงทุนประเภทใด
 ก่อนที่ต้องดู คือ ปัจจัยพื้นฐานง่ายๆ ครับ
    1.อายุ , สภาพร่างกาย , สถานภาพ
      - แน่นอนคนเรายิ่งอายุเยอะก็ยิ่งต้องสมควรเก็มหอมรอมริบไว้บ้าง เผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินไหนจะครอบครัว ภรรยาและลูกๆ อีก ดังนั้นส่วนใหญ่เมื่อมีอายุมากขึ้น เราสมควรจะลดสัดส่วนที่จะมาลงทุน ไม่ว่าแบบใด ให้น้อยลงนะครับหรือบางคนชอบ เทหน้าตักก็แล้วแต่ศรัทธา
      - สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงเสมอคือ เรื่องของสุขภาพทั้งทางกายและทางใจครับ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดีก็จะได้ทำอะไรได้สะดวกครับ เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจอย่างน้อยถ้าไม่ออกกำลังกายก็ต้องเลือกกินอาหารให้ถูกหลักตามที่ร่างกายแต่คนควรได้รับ ( บางคนเลือกเวลานอนไม่ได้ ผมเลยไม่ขอพูดถึง )
      - จำไว้เลยว่าสิ่งที่ราคาแพงที่สุดในโลก คือ เวลา ครับ จำไว้ให้ดีเลย ^^ ส่วนใครจะคิดอย่างอื่นก็แล้วแต่นะครับ ผมไม่ขัดศรัทธา
       สรุป ถ้าเรายังไม่มีภาระใดๆก็สามารถลงทุนได้แบบเทหน้าตัก รักหมดใจ ( แบบผมนี้ไง ) แต่ผมเหลือเงินสำรองไว้ส่วนนึงนะครับ ^^  ( เผื่อเที่ยว อิๆ )
    2.ทัศนคติ(ความถนัด)
      นั้นหมายถึงนิสัย การวิเคราะห์ของเราครับ ว่าเราเป็นถนัดด้านไหน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ
      2.1 การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
      2.2 การวิเคราะห์ทางเทคนิค
        ตัวนี้ผมไม่ขอพูดถึงแล้วกัน ผมเชื่อว่าเพื่อนๆทุนคนเมื่อมีความสนใจในด้านการลงทุนแล้วยอมต้องมีหมั่นเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างแน่นอน ดังนั้นอันนี้ทางใครทางมันครับแล้วแต่ถนัด แต่ผมซึ่ง เป็น"มือใหม่หัดขับ" เรียกว่าป้ายแดงไม่มีใบขับขี่เลยก็ยังได้ ผมถนัดทางเทคนิค มากกว่าแต่ผมก็ดูปัจจัยพื้นฐานซึ่งจะเน้นในเรื่องของ Growth และรูปแบบสินค้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเป็นหลัก ก็แล้วแต่คนถนัด ผมเลือกหุ้นจากพื้นฐาน หาจังหวะเข้าจากเทคนิคครับ ( Timing ) ^^ ปล.ผมสายผสม
   3.แนวโน้มการลงทุน ( นิสัย )
        พูดง่ายๆก็คือ วิธีการเล่นครับ เราชอบถือยาว หรือถือสั้น หรือเป็นแบบเห็นหุ้นแดง ต้นทุนติดลบแล้วใจสั่นๆแบบ ( ผมรึป่าว อิๆ ) ว่ากันไปครับ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนน๊ะครับ ให้มองของการกระทำของเราเป็นหลัก เพราะปกติคนเราชอบคิดว่า ตัวเองเก่งแบบ Warren Buffet หรือคนดังๆ แต่จิงๆไม่เลย เชื่อผมสิว่าไม่เลยน้อยคนมากที่จะทำแบบนั้นได้
       ดังนั้นเราจึงต้องเลือกหุ้นให้เข้ากับนิสัยเรา อย่างผมเป็นพวกใจร้อน ( แต่ไม่ขนาดซื้อมาขายไปวันเดียวน๊ะ ) แต่ค่อนข้างจะมั่งคงหน่อย คือ ใจมันร้อนแต่สมองมันยังนิ่งอะครับ ผมจะเป็นพวกเล่นเป็นรอบๆไป ยกเว้นตัวไหนที่มันไปแน่ๆ พวกที่มันเขียวตั้งแต่วันแรกที่ซื้อแล้วก็ขึ้นไปเรื่อยๆนี้ ผมไม่ขายนะครับ ขี้เกียจมาดูรอบมัน ^^ ( แต่ประสบการณ์ผมยังน้อยไม่รู้จะโดนใจท่านทั้งหลายบ้างไหม

    สุดท้ายถ้าท่านทั้งหลายเล่นแล้วได้กำไรก็คงมีความสุข ถ้าขาดทุนก็คงเซ็งไปตามๆกัน  แต่ผมไม่รู้แปลกคนอะป่าว ผมชอบดูหุ้น ศึกษาหุ้นดูไปเรื่อยๆผมว่ามันมีความสุขดีน๊ะ ^^ ( แต่ตอนนี้ผมยังไม่ขาดทุนน๊ะ ถึงจะโดนไปหลายดอกก่อนกลับมาได้ )
   

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

การวิเคราะห์ระดับเศรษฐกิจและนโยบายประเทศ

    เมื่อคราวก่อนได้บอกถึงการวิเคราะห์ราคาพื้นฐานของหุ้นไปแล้วคราวนี้เราก็มาวิเคราะห์ในระดับที่ใหญ่กว่า
  1. เรื่องแรกที่เราต้องรู้เลยก็ คือ อัตราดอกเบี๊ยและเงินเฟ้อ ซึ่งในปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อนั้นมากกว่าดอกเบี๊ยเสียอีกหมายความว่าถ้าคุณเอาเงินไปฝากทหารกินดอกเบี๊ย แต่หารู้ไม่ว่าเงินมันได้กินเราไปอีกที
   - ผมจะเปรียบเทียบให้ดูดัง    Ex.เงินเฟ้อ = 5% อัตราดอกเบี๊ย = 3%
      สมมุติวันี้คุณมีเงิน 100 ไปฝากดอกเบี๊ยนี้ปีจะได้เป็น 103 บาท ในขณะที่เงินเฟ้อทำให้ราคาสินค้า ผมขอยกตัวอย่างว่าน้ำ ราคาขึ้นไป 5% จากเดิม 3 ลิตร 100 เป็น 3 ลิตร 105 บาท ปัจจุบันปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่จะมีผลกระทบในระยะยาวหากไม่ได้รับการแก้ไข
  2. พฤติกรรมของตลาดหุ้นบ้าน คุณลองมาศึกษาดูแล้วคุณจะพบว่าตลาดหุ้นบ้านไวมากกับเรื่องข่าวสารและก็ชอบหุ้นที่มันแรง โวลุ่มสูงๆ นี้จะเข้ากันมันเลย อิ (ระวังติดดอยนะ) ลองไปศึกษาดูนะครับแล้วแต่มุมมองของคน ไม่แน่คูรอาจจับจุดถูกก็ได้รวยล๊ะ คราวนี้
  3. นโยบายการคลังของประเทศ เช่น การขึ้นหรือลดภาษีบริษัทซึ่งจดทะเบียในตลาดหลักทรัพย์ การประกาศลดดอกเบี๊ยการซื้อบ้าน 2 ปีแรกเหลือ 0% และไม่เสียค่าโอน ซึ่งของพวกนี้ถ้าเราติดตามดีๆจะพบว่าบางทีกระทบกับราคาหุ้นแบบกระโดดถึง 10% เลยทีเดียว ลองดูใน กรุงเทพธุรกิจ
  4.  นโยบายระหว่างประเทศ,อัตราแลกเปลี่ยน แน่นอนอาจไม่มีผลกระทบกับเรามากแต่ลองคิดดูว่า บริษัทในตลาดหุ้นที่ต้องค้าขายกับต่างประเทศจะกระทบขนาดไหน รวมถึงนโยบายที่ทำให้ นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนใน ตลาดเกิดใหม่ แบบตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนค่าของค่าเงิน US ลองเข้าไปอ่านดูใน bloomberg ก็ได้ในครับ รวบรวมไว้เยอะมากแปลไม่ออกก็ Google ครับ
  5. การเมือง อันนี้ก็ง่ายๆครับ การเมืองเสถียรหุ้นมันก็ขึ้น ไม่ก็ลง แบบตามกระแสอ๊า (พี่ไทยมุง อิๆ)
  6. Business Cycle หรือวัฎจักรธุรกิจ ซึ่งอาจแบ่งง่ายๆเป็น 3 ประเภท คือ
     - Growth industry หรืออุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัว โดยส่วนมากมักมีการเติบโตสูงผิดปกติและเป็นอิสระจากภาวะเศรษฐกิจ ง่ายๆคือ เศรษฐกิจดีหรือไม่ดีก็ไม่มีผลกับตัวนี้เท่าไหร่หรอกครับ ^^
     - Cyclical industry หรืออุตสาหกรรมที่ขึ้นลงตามวัฎจักร ถ้าเศรษญกิจดี อุตสาหกรรมก็ดีไปด้วยง่ายๆคืออิงตามภาะเศรษญกิจ อิงตาม Demand ความต้องการสินค้า ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็ต้องการสินค้าตัวนี้มากขึ้น บริษัทก็กำไร อิๆ
     - Defensive industry หรืออุตสาหกรรมที่ไม่ตกต่ำตามเศรษฐกิจ ส่วนมากเป็นพวกที่คนเราต้องใช้เป็นประจำเช่น อาหารสำเร็จรูป มาม่า สบู่ ยาสีฟัน อ๊ะแล้วอินเตอร์เน็ตล๊ะ ของจำเป็นรึป่าวอิๆ
  7. เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในอดีตผมจำได้ว่าเรายังฟังเทปวิทยุ ใส่ในเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆอยู่เลย วันนี้เทคโนโลยีได้เปลี่ยนไป เทปวิทยุ แทบไม่ต้องมีโหลดจากเน็ตอย่างเดียว อิๆ เราต้องตามกระแสโลกาภิวัฒน์ให้ทัน ไม่งั้นเด่วเขาจะหาแก่เอาน๊ะ
  8. การแข่งขันในระดับธุรกิจ ยกตัวอย่างง่ายๆ สบู่ยาสระผมครับ แค่นี้คงเห็นภาพเอาให้ชัดอีกก็ดูเสื้อผ้าครับ เอาให้สูงขึ้นไปหน่อยก็รถยนต์ครับ เอาใกล้ๆตัวก็สองแข่งขันเข้ามหาลัย ( อ๊ะมันธุรกิจยังไง ลองคิดดู )

เรียนรู้การวิเคราะห์หุ้น(เบื้องต้น)

   เมื่อผมได้ศึกษาการวิเคราะห์ ผมจึงทราบว่า เราจะมีการวิเคราะห์หุ้นอยู่ประมาณ 2 แบบ ใหญ่ๆ หรือที่เขาเรียกเป็นสำนัก ซึ่งก็คือ
    1.การวิเคราะห์ทางด้านพื้นฐาน ( ซึ่งผมรู้มาว่าเขาเรียกว่า Value Investor) อย่าง Warren BuffeT,peter lynch, ดร.นิเวศ เป็นต้น ( ผมใช้สำหรับคัดหุ้นที่คิดว่าจะลงทุน )
     แนวทางในการวิเคราะห์ในด้านนี้จะเน้นไปในเรื่อง
        -  อัตราการเติบโต พูดง่ายๆ ว่า บริษัท มีแน้วโน้มจะเจริญเติบโตมากขึั้น หรือ ไม่หรือว่าทำกำไรแต่ก็ยังคงเป็นบริษัทแบบนั้นเท่าเดิม เอาง่ายๆอย่่าง 7-11 มีการขยายสาขาอย่างรวดเร็วด้วยระบบการจัดการที่วางแผนมาอย่างดี  กับ  108shop ที่ยังไม่สามารขยายสาขาได้ดีเท่าไหร่คุณจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวไหน และอย่าลืมด้วยว่าเราบริษัทจะเติบโตแบบยั่งยืนหรือว่าประเดี๋ยวประด๋าวก็ล้มไปอันนี้ต้องศึกษาครับ อิๆ
        -  ความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนสินค้าและปริมาณการผลิค ถ้าสมมุติว่ามีสินค้าอยู่ 2 ตัว A ต้นทุน 5 บาท ขาย 12 แต่ B ต้นทุน 4 บาท ขาย 10 บาท ในขณะที่คุณภาพนั้นใกล้เคียงกัน คุณจะเลือกซื้อตัวไหนครับ อย่าลืมดูปริมาณสินค้าเทียบกับราคาสินค้าด้วยนะครับ บางทีเมื่อเขาผลิตมาเยอะๆหรือมีออเดอร์มาเยอะอาจจะทำให้ต้นทุนสินค้าลดลงก็ได้น๊ะ ^^
        -  ค่าพื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับหุ้น ลองเข้าไปดูในเว็บนี้ http://siamchart.com/stock/ ก็ได้ครับ
 โดยค่าที่เรามักจะดูกันง่ายๆ คือ P/E  ,  Roe  , Roa , P/BV , TL/E
           โดยสามารถเปิดดูเบื้องต้นเกี่ยวกับศัพท์การเงินที่ ศัพท์การเงิน
        -  ระบบการจัดการ,การตลาด,ความสามารถของผู้บริหาร ระบบการจัดการที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าย่อมทำให้ สามารถตอบสนองตลาดได้มากกว่า อีกทั้งผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ต่อผู้ลงทุนย่อมจะดีกว่าอยู่แล้วถูกไหมครับ (ยิ่งถ้าผู้บริหารอยู๋ฝั่งเดียวกับผู้ลงทุนจะดีมาก) แล้วคราวนี้เราจะรู้ได้ยังไง เราก็ต้องศึกษาสิครับ คงไม่มีใครมาบอกเราหรอก
        - ภาวะหนี้สิน , เงินหมุนเวียน , กำไร เราจะได้รู้ว่าบริษัทที่เราเลือกจะลงทุนเขามีผลตอบแทนให้เราอย่างไรบ้าง ( แต่ผมแนะนำว่ามองระยะยาวดีกว่านะครับ )
        -
      ปล.นี้เป็นการมองพื้นฐานเบื้องต้นนะครับ เรายังต้องมองภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องวัฎจักร ความต้องการของลูกค้าด้วยว่าเขาต้องการอะไร ( แน่นอนชอบของดีราคาไม่แพงอยู่แล้วคับ)
เราลองมาดูกาวริเคราะห์ง่ายๆที่ Settrade แล้วพิมพ์ชื่อย่อไปเลยครับ ว่าดูกันว่าเขาวิเคราะห์กันยังไง
แต่อย่าไปเชื่อมากนะครับ เราต้องแยก ข้อเท็จจริง กับ สมมุติฐาน ของเขาด้วย

    2.การวิเคราะห์ทางเทคนิค Technical Analysis ( ผมใช้หาจังหวะเข้าซื้อ Timing )
         เรื่องของเทคนิคผมคงไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดนักผมแนะนำไปซื้อหนังมาอ่าน หรือ เข้าไปดูใน Youtube ครับ เขาจะมีสาธิตให้ดูพร้อมคำอธิบาย ( ภาษาอังกฤษนะจ๊ะ ) Search ใน Google ก็เป็นอีกหนุ่งทางเลือกที่ดีน๊ะ ^^
        ด้วยส่วนตัวผมใช้อยู่ 4 ตัวและผมแนะนำให้ลองศึกษาดูเพราะมันไม่ยากครับ
       - bollinger band ( BB ) หรือก็คือ ขอบเขตราคาครับว่ามัน สูงเกินไป หรือ ต่ำเกินไปหรือเปล่า โดยอิงจากเส้นของ BB ซุ่งมีทั้งสามเส้นครับ บน กลาง ล่าง
       - slow stochastic  ใช้ดูจังหวะซื้อขายง่ายๆครับ ถ้าเส้นมันตัดขึ้นก็ซื้อครับ มันตัดลงก็ขายครับ ลองไปศึกษา ตัวนี้ไม่ยากครับ แต่ทำไม่ง่ายแน่นอนเพราะเรามีความโลภ ^^ หุ้นที่ผมเข้าซื้อตามจังหวะนี้โอกาสขาดทุนน้อยครับ ^^
       - MACD ซึ่งก็คือค่าเฉลี่ยนการซื้อโดยเราจะนำเส้นแต่เส้นมาเทียบกัน ของผม 5,10,25,100 ซึ่งเราจะใช้ในการดูแนวโน้ม (Trend) ของตลาดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราอาจแบ่งกราฟเป็น 120 นาที , day , week แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนครับ
       - RSI เป็นตัวที่วัดการแกว่งของหุ้นครับ เพื่อดูแรงการซื้อว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไปรึป่าว ง่ายๆคือ ตัวนี้เขาให้ขายเมื่อมีภาวะการซื้อมากเกิน(แห่กันซื้อเอ๊ะ แมงเม่าหรือเปล่า) และให้ซื้อเมื่อมีภาวะการขายมากเกินไป (คนเทขาย แม่งเม่าชอบขาย อิๆ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น )
       ปล.ผมขอยืนยันเลยว่าใช้ได้จริงครับ อยู่ที่ว่าจะใช้ยังไง ค่อยๆศึกษาครับไม่มีใครเก่งแต่เกิดผมกว่าจะเรียนรู้ได้ก็ใช้เวลาตั้งนานลองเข้าไปดูใน http://wizard-kids2m.blogspot.com/

 เอาล๊ะครับใครมีอารายก็มาแชร์กันได้ครับ ผมก็มือใหม่หัดขับ(อย่างระมัดระวัง) ^^
    
      

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ของจริง มันยังไง !!!

      ผมได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดหุ้นหลังจากที่ศึกษามาเรื่อยเปื่อยเป็นเวลานาน ผมเอ๊ะ มันต่างจากเวลาเล่นทดลองในเว็บยังไง อ๊ะแน่นอนเหมือนเวลาคุณมองดูใครสักคนนึง กับ เวลาที่คุณสนใจแล้วเข้าไปขอเบอร์เขามันต่างกันยังไงล๊ะ ก็คล้ายกันแหละครับ ตลาดหุ้นก็เล่นโดยคน เพราะฉะนั้นมันมีอารมณ์หลายอย่างๆเข้ามาเป็นตัวแปร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆนึงดีอย่างไรมันต้องใช้เวลา และนี้คือสิ่งที่คนส่วนมากพลาดไป เพราะคนเราต้องการความพอดีครับ มากไป น้อยไปมันก็ไม่ดี ( ประเดี๋ยวประด๋าวมันไม่จีรังนะครับ ระวังจะปวดหัวทีหลังนะอิๆ อ้าวนอกเรื่องแล้ว 555+ )

ก้าวแรกก่อนเข้าตลาดหุ้น

       คำแนะนำสำหรับมือใหม่แบบผมคือ ให้ทำการศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆ ถ้าจะเอาในอินเตอร์เน็ตก็ http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib.shtml ซึ่งก็เบื้องต้นครับง่ายๆสบายๆ และผมก็รู้ด้วยว่าคนส่วนมากจะคันไม้คันมืออยากเล่นเพราะคิดว่ากูได้แน่ๆ(ผมไม่เถียงนะว่าอาจจะได้แต่แล้วเราก็จะเสียและเสียมากขึ้นไปอีก เพราะ เรายังไม่ได้ศึกษาทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ และ ตัวเองครับ ย้ำนะครับ ต้องศึกษาตัวเอง )
และการไปซื้อหนังสือมาอ่าน ที่ผมแนะนำก็คือ หนังสือประสบการณ์ก่อนฮะ เพราะมันจะเปิด vision ให้กับเรา เราจะได้เรียนรู้โลกได้มากยิ่งขึ้น ผมขอแนะนำ หนังสือของ พี่ภารวิทย์ และจากค่าย stock2morrow ครับ หรือจะเข้าไปดูการรวมตัวของนักลงรายย่อย(แบบเรารึป่าว อิๆ ) http://www.stock2morrow.com/
เอาละครับเมื่อเริ่มศึกษาได้ในระดับนึงแล้วเรามา ลอง Paper Trading หรือเข้าไปลองเล่นใน http://click2win.settrade.com/SETClick2WIN/index.jsp โอเคและนี้คือก้าวแรกและคำแนะนำของผมในการเข้าสู้ตลาดหุ้น อย่าคิดไปสู้กับมัน เพราะจิงๆแล้วเราก็แค่สู้กับความคิดตัวเองครับ ^^

เล่าสู่กันฟัง 15 วันนับแต่เข้า trade จริงในตลาดหลักทรัพย์

-บล็อคนี้เขียนเพื่อเตือนสติตนเอง หรือ เพื่อนๆบางคนที่อาจเข้ามาดูบล็อค(เล็กจิ๋วๆ)ของผมนะครับ
   -ประสบการณ์
   -ข้อคิดที่ได้(มีประสบการณ์แต่คิดไรไม่ได้ก็แย่แล้วเนอะ ^^ )
-เขียนถึงหุ้นบางตัวที่ผมเทรดและวิธีของผม(ง่ายๆฮะผมชิวๆ)