วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เริ่มเดินทางวันที่ 1 ( ผ่านมา 39 วัน )

วันนี้อาจเรียกว่าเป็นการเริ่มเดินทางอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะว่าไม่ได้ PorT Anslysis ไว้เลยว่าจะเล่น เทคนิค แต่ไปมาๆ
จัดไป 2 สะงั้น 55

1.CPF 36.25
2.JAS 2.34

Bid Offer แบบนี้ ผมคิดตั้งแต่แรกแล้วว่าเด่วราคา CPF ต้องอยู่ 36.00 และ JAS ต้องอยู่ 2.32 แต่ด้วยผมไม่อยากคิดมากหรือไม่ใส่ใจไม่รู้เลยช่างแม่งไป 555

ว่าไปที่ซื้อ CPF เพราะ BREAK OUT ระยะสั้น FSTO ตัดขึ้นชัดเจนมาก
ที่ซื้อ JAS เพราะกราฟ WeeK ทะลุแนวต้านสำคัญมา 1 แท่งแล้ว

แถมอีกตัว PJW 4.44 ด้วยความโลภอยากได้ตัง มอง Bid Offer ^^ เรียกได้ว่าไม่ได้ศึกษาอะไรเลย ไส่ไปตูมเลย 555 เพิ่งมารู้ทีหลังราคาจอง 3.60 แหม่ว่าแล้ว ทำไมมีแรงเทขายทำกำไรเยอะจัง ^^

สรุปช่วงเช้าวันนี้ ข้อคิดดีๆ

1.กากแล้วอย่าทำเก่ง
2.กากแล้วทำเก่งจะขาดทุน 555

สรุปส่งท้ายวัน

1.เสี่ยงเกินไปในหุ้น PJW มีการดันราคาขึ้นมาแลัวแต่ไม่ขาย เรียกได้ว่าโลภเกินไปจนเสียหมด ทั้งที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงของหุ้นตัวนี้เลย
2.เช่นนั้นในหุ้น PJW มีการกดราคาลง แล้วเก็บหุ้นไว้ แต่ยังไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นคนเก็บและมีวัตถุประสงค์อะไร

วางแผนสำหรับพรุ่งนี้ไม่ถูกเลยเรา 555+ เอาเป็นว่าผมทำใจรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดกับ PJW แต่สำหรับหุ้นตัวอื่นก็ตามเหตุผลที่เข้าครับ ^^

สุดท้ายผมอาจจะพลาดอาจจะเจ็บแต่เราจะยังเดินต่อไป

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-38

วันนี้ตื่นเช้ามาก็ดูตลาดแต่เช้าเลย ผมเห็นวิ้งไป 1148 ไฮเดิมแปบเดียวแล้วก็ลงมา โดยรวมแล้วผมยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่หุ้น se-ed สุดที่รักผมยังเหมือนเดิมวิ่งไป 11.90 แต่ผมก็ยังนั่งงงอยู่เหมือนเดิม 555 แต่ไม่เป็นไรเพราะว่ามันยังไม่เข้าเงื่อนไขผม

เอาเป็นว่าวันนี้ขอสั้นๆละกาน

ข้อคิดประจำวัน
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร" - ขงเบ้ง

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-37

PorT Analysis 24 ก.พ. 2555

เนื่องด้วยตอนแรกผมจะจัดทำ PorT Analysis แต่ด้วยปัญหาเรื่องตัวเลขซึ่งปรากฏในเวปไซด์ ผมจึงขอเลื่อนออกไปก่อนและคาดจะทำออกมาในรูปแบบของ % เปรียบพอร์ต ออกมาในอนาคตนะครับ ^^

ช่วงนี้ไม่มีไรมากรู้สึกอยากพักผ่อนและทำอะไรสบายๆ วันนี้คิดว่าจะลองหาหุ้นพื่นฐานที่น่าสนใจและก็ฝึกเทคนิคเล็กๆน้อย

คำคมวันนี้

"จงฟังสิ่งที่อยู่ในใจ อย่าฟังสิ่งที่อยู่ใจหัว"

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-37

วันนี้เข้าเวรกลางคืน ออกเวร กลับไปนอนตื่นเช้ามาเกือบเที่ยงแล้ว ^^ 55 จากนั้นจึงเดินทางไปเคลียร์งานค้างเก่าออกก่อน ตอนนี้ยังเหลือรถงงที่ไม่รู้ว่าเป็นคันไหนอยู่คันหนึ่ง เช่นเดิมวันนี้ผมคงจะอ่าน พิชัยสงคราม ของซุนวูต่อเพราะรู้สึกอ่านแล้วได้เห็นภาพอะไรต่างๆ ซึ่งดูเหมือนว่าผมจะเป็นตัวละครที่ถูกศัตรูยั่วยุให้สับสนจริงๆนะ 555

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-36

วันนี้เป็นอีกวันที่ผมนั่งดูตลาดหุ้นแล้วเกิดความคิดที่ว่าทำไมผมถึงไม่กล้าซื้อ ขาย ทำไมผมถึงไม่กล้วจะทำนู้นทำนี้ผมพบคำตอบแล้วว่า

1.ผมกลัวจะเสีย หรือ
2.ผมต้องการมีต้นทุนต่ำกว่าคนอื่น
3.ผมพยายามคิดวิธีที่จะทำอย่างไรไม่ให้ขาดทุน

และวันนี้คำตอบของผมคือ พอๆๆๆ พอกันทีความรู้สึกแบบนี้ ผมกลับมาใช้เครื่องเริ่มแรกของผม FSTO 14 3 3 ซึ่งมีการซื้อขายเป็นรอบอย่างชัดเจน

ต่อจากนี้สักระยะผมจะขอลองใช้ความรู้เทคนิคที่ผมมีมาให้เป็นประโยชน์หาผมพบในภายหลังว่านี้อาจจะไม่ใช่คำตอบของผม ผมจะถอยหลังแล้วกลับเริ่มต้นมองดูตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง

จะใช้เงินทุนในพอร์ตกับการลองครึ่งนี้เพียง 1/3 หรือ 100K เท่านั้นเรามาดูกันผมขอเล่นแบบนี้ จนจบรอบขาขึ้นใหญ่ของ Set แล้วผมจะมานั่งวิเคราะห์ความผิดพลาดของผมว่าเกิดจากอะไร

สุดท้ายวันนี้ผมยังหาจุดที่เหมาะสมไม่ได้เลย 555 พับฟ่าสิ

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บทประพันธ์แห่งซุนวู พิชัยสงคราม

วันนี้มีประโชน์ผมหยิบหนังสือ พิชัย สงคราม ซุนวู ที่เคยอ่านมาแล้วหลายรอบ มาอ่านอีกรอบเรียกว่า ครั้งนี้ ดูจะเข้าใจกว่าครั้งไหนๆ

มีหลายๆประโยคที่สมควรบันทึกเก็บไว้เพื่อเตือนสติ

ก่อนอื่นเริ่มต้นด้วยประโยค คลาสสิค "จงรู้ตัว สร้างตัว วางตัว และอย่าลืมตัว"

การหยั่งคาดการณฺ์
การสงคราม คือ วิถีแห่งกโลบาย เช่นนั้น
หากสามารถ,พึงสำแดงเสมอหนึ่งไร้ความสามารถ
หากพร้อมรุก,พึงสำแดงเสมอหนึ่งไม่พร้อมรุก
หากอยู่ไกล,พึงสำแดงเสมอหนึ่งอยู่ใกล้
หากอยู่ใกล้,พึงสำแดงเสมอหนึ่งอยู่ไกล

หากศัตรูได้เปรียบ,พึงหลอกล่อ
หากศัตรูสับสน,พึงหนักแน่น
หากศัตรูแข็งแกร่ง,พึงเตรียมพร้อม
หากศัตรูเข้มแข็ง,พึงหลีกเลี่ยง
หากศํตรูโกรธกริ้ว,พึงก่อกวน
หากศัตรูถ่อมตัว,พึงยุให้ทะนงตน
หากศัตรูออมแรง,พึงยุให้ออกแรง
หากศัตรูสามัคคี,พึงแยกสลาย
เข้าโจมตีตรงจุดที่ศัตรูไม่ระวังตัว
จงกลับออกมาตรงจุดที่ศัตรูมิคาดคิด

การทำสงคราม
"ผู้ใดมิรู้ถึงหายนะของสงคราม ผู้นั้นก็มิอาจรู้ถึงประโยชน์ของสงคราม"

การวางแผนโจมตี
"ฝ่ายใดรู้ว่าเมื่อใด รบได้และเมื่อใดรบไม่ได้ฝ่ายนั้น จักชนะ"
"ฝ่ายที่เตรียมพร้อมและรอคอยโอกาสบุกฝ่ายที่ไม่เตรียมพร้อมฝ่ายนั้นจักชนะ"
เช่่นนั้นจึงกล่าวได้ว่า
รู้เรารู้เขา ร้อยศึกมิพ่าย
รู้เรามิรู้เขา ชนะหนึ่งพ่ายหนึ่ง
มิรู้เรามิรู้เขา ทุกศึกพ่ายสิ้น

การวางกำลังพล
"กองทัพที่มีชัยจึงให้ได้เงื่อนไขสำหรับชัยชนะก่อนแล้วจึงหาทางสัประยุทธ์ ,
ส่วนกองทัพที่ปราชัยหาทางสัประยุทธ์ก่อนแล้วจึงให้ได้เงื่อนไชสำหรับชัยชนะ"

"เช่นนั้นผู้เชี่ยวชำนาณในการทำสงคราม ทำตนให้อยู่ในสภาวะที่ศัตรูมิอาจพิชิตได้ แต่มิอาจทำให้ศัตรูตกอยู่ในสภาวะพิชิตได้ง่ายและมิพลาดโอกาสในการพิชิตศัตรู"
อาจกล่าวได้ว่า ชัยชนะอาจล่วงรู้ได้แต่มิอาจสร้างขึ้นมาได้

พลานุภาพ
ในการสัประยุทธ์,มีการโจมตีอยู่เพียงสองรูปแบบ
พิสดารกับสามัญ,ครั้นพลิกผันพิสดารกับสามัญ ย่อมล้ำลึก
พิสดารกับสามัญเกื้อกูลแก่กันและกัน
เสมอหนึ่งวงกลมอันไร้ที่สิ้นสุด
มีใครไหนเลยเข้าใจความล้ำลึกนี้

จุดอ่อนและจุดแข็ง
รูปขบวนของกองทัพเสมอหนึ่งน้ำ
รูปขบวนของน้ำ เลี่ยงที่สูง ลงที่ต่ำ
รูปขบวนของกองทัพก็เช่นกัน เลี่ยงที่แข็ง ตีที่อ่อน
รูปขบวนของน้ำปรับตามภูมิประเทศขณะไหล
รูปขบวนของกองทัพก็เช่นกัน
ปรับตามสภาพของศัตรูเพื่อบรรลุชัยชนะ

การสัประยุทธ์
พึงใช้วินัย รอคอยความไร้ระเบียบ
พึงใช้ความสงบ รอคอยความพลุ่งพล่าน
นี่คือวิถีแห่งการควบคุมจิตใจ

เช่นนั้น ผู้เชียวชำนาญในการใช้กำลังจึงเลี่ยงยามเริงแรงแลโจมตียามราแรง
นี่คือวิถีแห่งการควบคุมพลานุภาพ

พึงใช้ใกล้ รอคอยไกล
พึงใช้ความสงบสบาย รอคอยความเหนื่อยล้า
พึงใช้ความอิ่น รอคอยความหิว
นี่คือวิถีแห่งการควบคุมความเข้มแข็ง

เช่นนั้นหลักแห่งการสงครามก็คือ
อย่าโจมตีศัตรูบนที่สูง
อย่าโจมตีศัตรูหันหลังอิงเนินเขา
อย่าไล่ตีศัตรูที่แสร้งถอย
อย่าโจมตีศัตรูที่ฉลาดเข้มแข็ง
อย่ากินเหยื่อที่ศัตรูใช้อ่อย
อย่าขัดขวางศัตรูที่ถอยคืนถิ่น

หากปิดล้อม พึงเปิดช่องทางหนี
อย่าบีบเค้นศัตรูที่จนตรอก
เหล่านี้คือหลักแห่งการสงคราม

การพลิกแพลงยุทธวิธ

เช่นนั้น แม่ทัพที่ชาญฉลาดจึงใคร่ครวญข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ
การใคร่ครวญข้อได้เปรียบ ทำให้บรรลุการหยั่งคาดการ์ณ
การใคร่ครวญข้อเสียเปรียบ ทำให้ขจัดอุปสรรค
พึงจำไว้ว่า
มีเส้นทางบางสายมิควรเดินทัพ มีกองทัพบางหน่วยมิควรโจมตี มีเมืองบางเมืองมิควรยึด
มียุทธภูมิบางแห่งมิควรช่วงชิง มิโองการบางประการมิควรสนอง
เช่นนั้นหลักการแห่งสงครามคือ
พึงอย่าวางใจศัตรูที่ยังไม่มา
แต่ทว่าพึงวางใจในความพร้อมต้านตีศัตรู
พึงอย่าวางใจศัตรูที่ยังไม่โจมตี
แต่ทว่าพึงวางใจในตำแหน่งของเราที่มิอาจถูกโจมตี
เช่นนั้นลักษณะอันตรายของแม่ทัพ มีอยู่ห้าประการ
ผู้ไร้สติ อาจถูกฆ่า
ผู้ขี้ขลาด อาจถูกจับ
ผู้ฉุนเฉียว อาจถูกยั่วยุ
ผู้ดีงาม อาจถูกหมิ่นแคลน
ผู้รักอาณาประชาราษฎร์อาจถูกก่อกวน

การเดินทัพ
พึงทำตนให้แข็งแรงลำบากและเตรียมพร้อมต่อสู้
เช่นนั้น ผู้ขาดการวางแผนยุทธศาสตร์และประเมินศัตรูต่ำ จักถูกจับเป็นเชลย
เช่นนั้น จงใช้สมองให้จงมาก
อ่านเจตนาศัตรู แล้วจึงรบ

ภูมิประเทศ
รูปลักษณ์ของ๓มิประเทศเกื้อหนุนกองทัพ
หยั่งคาดการณ์ศัตรู สร้างเงื่อนไขสู่ชัยชนะ
การคาดคะเนภยันตรายและระยะทาง
คือ วิถีแห่งยอดแม่ทัพ
ผู้รู้ออกรับ มีชัยแน่แท้
ผู้มิรู้ออกรบ ปราชัยแน้แท่

เช่นั้น หากรู้ว่าไพร่พบโจมตีได้ แต่ไม่รู้ว่าศัตรูมิอานโจมตี
ชนะครึ่งหนึ่ง ,
หากรู้ว่าศัตรูถูกโจมตีได้ แต่ไม่รู้ว่าไพร่พลเรามิอาจโจมตี
ชนะครึ่งหนึ่ง
หากรู้ว่าศัตรูถูกโจมตีได้ รู้ว่าไพร่พลเราโจมตีได้ แต่มิรู้ภูมิประเทศในการสัประยุทธ์
ก็ชนะครึ่งหนึ่ง

เช่นนั้น ผู้รู้วิธีการเคลื่อนทัพจึงไร้ข้อจำกัดเมื่อสัประยุทธ์

เช่นนั้น กล่าวได้ว่า รู้เขารู้เรา ชนะมิเสี่ยง รู้ฟ้ารู้ดิน ชนะมิสิ้น

เก้ายุทธภูมิ
เช่นนั้น บนยุทธภูมิแตกพลัด ,พึงอย่ารบ
บนยุทธิภูมิชายขอบ ,พึงอย่าหยุดทัพ
บนยุทธภูมิพิพาท ,พึงอย่าโจมตี
บนยุทธภูมิเปิดโล่ง ,พึงอย่าแบ่งกำลัง
บนยุทธภูมิสามแพร่ง ,พึงผูกมิตร
บนยุทธภูมิวิกฤติ ,พึงกะเกณฑ์กวาดต้อน
บนยุทธภูมิวิบาก ,พึงรีบเดินทัพผ่านไปให้พ้นโดยเร็ว
บนยุทธภูมิปิดล้อม ,พึงใช้กโลบาย
บนยุทธภูมิมรณะ ,พึงทุ่มสรรพกำลังเข้าสัประยุทธ์

แต่ครั้งโบราณ แม่ทัพทีเชี่ยวชำนาญในสงคราม
สามารถสกัดกั้นทัพหน้าให้ขาดจากทัพหลัง
ทัพใหญ่มิอาจช่วยทัพเล็ก
นายมิอาจช่วยบ่าว
หน่วยเหนือมิอาจช่วยหน่วยล่าง
พึงแบ่งแยกศัตรู อย่าให้รวมกันติด
แม้นศัตรูรวมกันคิด พึงอย่าให้จัดระเบียบได้
พึงใช้ประโยชน์จากความไม่เตรียมพร้อมของศัตรู

สมประโยชน์ พึงรบ เสียประโยชน์ พึงหยุด

การโจมตีด้วยเพลิง
การใช้เพลิงช่วยเป็นความหลักแหลม ปรากฏผลเด็ดขาด
การใช้น้ำช่วยเป็นอานุภาพ ปรากฏผลชะงัด
น้ำตัดขาดกำลังศัตรูได้ แต่ทว่ามิอาจทำให้ศตรูย่อยยับได้

แม้นพิชิตศึก ยึดครองดินแดนของศัตรูได้
แต่ทว่าไม่ใช่ประโยชน์จากความสำเร็จนั้น
นับว่าเป็นความหายนะ
เรียกได้ว่าเป็นความสูญเปล่าและการเสียเวลา

เช่นนั้น แม่ทัพที่ชาญฉลาดพึงใคร่ครวญ และแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมพึงปฏิบัติ
หากมิได้เปรียบ ,พึงอย่าเคลื่อนพล
หากมิได้ผล ,พึงอย่าใช้ไพร่พล
หากมิอันตราย ,พึงอย่าออกศึก

อันประมุข มิควรเคลื่อนพลด้วยความโกรธ
ส่วนแม่ทัพ ก็มิควรทำศึกด้วยกริ้ว
สมประโยชน์ ,พึงรบ
เสียประโยชน์ ,พึงหยุด

การใช้จารชน
จารชน เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน,ลึกซึ้ง,หลักแหลม และแยบคาย
มิมีที่แห่งใดที่มิอาจใช้จารชนได้
หากภารกิจของจารชนรั่วไหลก่อนลงมือปฏิบัติการ
ควรจำหน่ายทั้งจารชนและผู้รู้

สรุป พิชัยสงครามเบื้องต้นไว้ เท่านี้ ^^

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-35

วันนี้เป็นวันที่ไม่ได้ศึกษาอะไรเพิ่มเติมมากนัก ณ ตอนนี้จะเรียกว่าทางทฤษฎีผมก็เริ่มจะมีความรู้พื้นฐานอยู่บ้าง แต่ดูแล้วการปฏิบัติท่าจะไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่ ^^ 555 ต้องฝึกอีกเยอะเลยทีเดียวในเรื่องการควบคุมอารมณ์และการเข้าใจตลาด

นั่งดูตลาดลงมาแบบงงๆแล้วก็ขึ้นไปแบบงงๆผมสังเกตุว่าเป็นแบบนี้หลายครั้ง และในหุ้น Se-ed หนึ่งในหุ้นที่ผมมองมีแรงเทขายออกมาจากข่าวจากปันผลหุ้นซึ่งโดยส่วนตัวเลย ผมมองว่าเป็นผลดีกับบริษัทในระยะยาวเพราะการลงทุนในช่วงก่อนหน้าที่จะเกิด AEC กล่าวคือ นำเงินสดที่ต้องมาปันผลไปลงทุนดีกว่า เพราะไม่รู้อนาคตถ้าเกิด ตลาดเสรีมากขึ้น สงครามการตลาดไม่รู้จะออกมารูปแบบ

Se-ed ปันผลหุ้น 10 : 1 เงินสด : 0.112 หรือคิดมูลค่าราคาพาร์ 0.1+0.112 = 0.212 ถ้ามองเป็นการประหยัดเงินสดที่ใช้ไปก็ไม่รู้เท่าไหร่เหมือนกัน 55+ ตอนนี้ราคา 11.50 แต่แปลกดีตัวนี้ไม่มีคนขาย

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-34

วันนี้ผมดูหนังเรื่อง Wall StreeT แล้วได้เห็นโลกของเทรดเดอร์ด้านมืด ดูเสร็จแล้วแบบโอมันขนาดนี้เลยเหรอ มีประโยคหนึ่งในเรื่องที่ผมสนใจมากเขาบอก

"เลิกคิดหาเงินจากคนอื่นได้แล้ว ลองหาเงินจากมือขอตัวเองบ้าง" ผมคิดว่าประโยคนี้เหมาะมากเลยกับ ธุรกรรมเกี่ยวกับเงิน

คิดได้ดังนั้นเวลาผมช่างเหลือน้อยยิ่งหนัก วันนี้เลยมานั่งศึกษาดู MACD ซึ่งจากข้อสังเกตุต่างๆเรียกว่าผมรู้เกือบหมดแล้ว

MACD = EMA (12 DAYS) - EMA (25 DAYS)
SIGNAL LINE = EMA 9 DAYS OF MACD
EMA = EXPONENTIAL MOVING AVERAGE
และ Histogram = MACD - Signal

โอเควันนี้ถือว่ารู้พื้นๆกก่อน เด่ววันหน้าเราจะมาศึกษาเพิ่มเติมกัน

บทความจาก Thai InvesT

คนฉลาดมักจะแก้ปัญหา แต่อัจฉริยะมักจะป้องกันก่อนที่ปัญหาจะเกิด
"Intellectuals solve problems; geniuses prevent them"

อย่าเอาแต่อ่านตำรา ต้องฝึกด้วย ถึงจะมีคัมภีร์ดี แต่ ไม่ฝึก ก็เหมือน มีขวดยา ไม่ทานยา เอาแต่อ่านฉลาก เหมือนโดนธนูปัก แต่เอาแต่ถามว่า ใครยิง ใครยิง _ เตียบ่อกี้ เอาตำรามากางที่ตัก แล้วก็ฝึกๆ __ ใช้ Fb นี้เป็น วัด FaceBookนะ วัดใจ วัดกาย สะสมกำลังสตินะ

อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-33

จากเมื่อวานวันนี้ผมมีแนวคิดจะทำ PorT Analysis อันนี้ไม้ใช้กฏนะครับ แต่เป็นการทบทวนเหตุผลในซื้อขาย เป้าหมาย และจุด CuT Loss เรียกว่าทำให้เป็นระบบหน่อยว่างั้น




ตัวอย่าง อันนี้เป็นรูปแบบเบื้องต้น

PorT AnaLysis ประจำสัปดาห์ที่ 17 ก.พ. 55 ( วันนี้เรากำหนดเป็นวันสุดท้ายการเทรดของสัปดาห์ )

สรุปสถานะทางการเงิน

เหตุผลของการเข้าซื้อและจุดที่จะออก

หุ้น ( ชื่อ ) : เหตุผลที่เข้าซื้อ ( พื้นฐาน + ปันผล )
เหตุผลที่จะออก : เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน / ชอร์ตหุ้น ราคาเป้าหมาย : DX / ราคาขึ้นมาเกินมูลค่ามากเกินไป : DY
หุ้น ( ชื่อ ) : เหตุผลที่เข้าซื้อ ( พื้นฐาน + รอบ + เทคนิค )
เหตุผลที่จะออก : ราคาขึ้นมาจนจบรอบหรือหลุดเทรน ราคาเป้าหมาย 1 : TY / คัทลอส ราคา : TX
หุ้น ( ชื่อ ) : เหตุผลที่เข้าซื้อ ( พื้นฐาน + เติบโต )
เหตุผลที่จะออก : เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน / ชอร์ตหุ้น ราคาเป้าหมาย : GY / ราคาขึ้นมาเกินมูลค่ามากเกินไป : GY
หุ้น ( ชื่อ ) : เหตุผลที่เข้าซื้อ ( พื้นฐาน + ฟื้นตัวกิจการ )
เหตุผลที่จะออก : เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน / ชอร์ตหุ้น ราคาเป้าหมาย : GY / ราคาขึ้นมาเกินมูลค่ามากเกินไป : GY

คำแนะนำและคำเตือนสำหรับอาทิตย์นี้

หุ้น ( ชื่อ ) : ราคาวิ่่งมาสูงก่อนถึงวันปันผล 1.เลือกรับปันผล / 2.ขายรอซื้อหลังปันผล
ความเสี่ยง : ราคาอาจลงมาเกินปันผลหรือราคาอาจไม่ลงหรือเพิ่มหลังปันผล
หุ้น ( ชื่อ ) : ราคาปัจจุบันวิ่งมาจากจุดซื้อมากพอสมควรอาจพิจารณาขายบ้างตามแต่เหมาะสม
เทคนิค : UptrenD / แตะขอบบน KT / RSI = X / SSTO = Y
การปฏบัติ : ยกจุดคัทลอสขึ้นไปปล่อยกำไรวิ่งไปเรื่อยๆ / ขายโดยอาศัยเหตุผลของการเข้า
หุ้น ( ชื่อ ) : ราคาวิ่งลงมาต่ำลงเรื่อยๆ กิจการมีแนวโน้มไม่ฟื้นตัวเนื่องจาก : ..........
ลูกค้าและประชาชนเปลี่ยนไปใช้ ...... ซึ่งสะดวก
หุ้น ( ชื่อ ) : ราคาปัจจุบันวิ่งลงมาเรื่อยๆจากจุดซื้อและใกล้จะเข้าเส้นรับสำคัญ
เทคนิค : DowntrenD / แตะขอบล่าง KT / RSI = X / SSTO = Y
การปฏิบัติ : ราคาคัทลอส = X / ขายโดยอาศัยเหตุผลของการเข้า

สรุปสถานะปัจจุบันของ PorT

หุ้น ( ชื่อ ) : ซื้อ ราคา X วันที่ สถานะปัจจุบัน ราคา Y วันที่ รวมกำไร / ขาดทุน Z % ปันผล ...
หุ้น ( ชื่อ ) : ซื้อ ราคา X วันที่ สถานะปัจจุบัน ราคา Y วันที่ รวมกำไร / ขาดทุน Z % ไม่มีปันผล
หุ้น ( ชื่อ ) : ซื้อ ราคา X วันที่ สถานะปัจจุบัน ราคา Y วันที่ รวมกำไร / ขาดทุน Z % ปันผล ...
หุ้น ( ชื่อ ) : ซื้อ ราคา X วันที่ สถานะปัจจุบัน ราคา Y วันที่ รวมกำไร / ขาดทุน Z % ไม่มีปันผล

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-32

วันนี้ผมนั่งมองตลาด ดูในภาพใหญ่เห็น SeT ทะลุแนวรับสำคัญระดับกลางขึ้นผมมีความคิดว่าอยากจะบองวิชาของตัวเองคือ กะว่าจะซื้อหุ้นสัก นิดหน่อยเอาไว้ลองวิชา 5555 เรียกว่าเป็นการฝึกฝนกันไป ทีนี้มาดู กราฟที่ผมจะเอามาลงเป็นยังไง BreaK Out ตรงไหน


ผมคิดว่าการตีเส้นในแบบหลังน่าจะมีนัยสำคัญกว่า และนั้นเท่ากับว่าผมพลาดการเข้าครั้งสำคัญไปแล้ว คงต้องรอกันใหม่ - -*


ในกราฟรายวันเกิด SideWay อัพและตลาดยังวิ่งอยู่ภายในกรอป

* วันนี้นผมมีข้อคิดหนึ่งเลยว่า ผมคิดว่า ตลาดหุ้นมันก็อยู่ของมันนี้ มีการขึ้นลง เราไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการขึ้นลงนี้ แต่จากการพิสูจน์ของตลาดหุ้น ซึ่งยังสามารถอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน นั้นคือ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น ดังนั้น "ตลาดหุ้นก็คือตลาดหุ้น ตัวเราก็คือตัวเรา" กำไรและขาดทุนเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายของเราโดยมีเหตุมาจากหลักการคิดไตร่ตรองในสมองเรา อันพระพุทธเจ้าท่านนั้นทรงกล่าวไว้ จงอย่าเชื่อสิ่งใดโดยยังไม่ได้ใช้ปัญญาในการพิสูจน์สิ่งนั้น
* จากข้อความเบื้องต้น กำไร ขาดทุนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนดังนั้นมันก็สามารถเกิดขึ้นกับเราได้อยู่ตลอดเวลา ดังคำกล่าวว่า "สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง" เพราะฉะนั้นหากใช้สมองไตร่ตรองให้ดี เราจะพบว่าแท้จริงการที่เราจะสามารถอยู๋ในตลาดหุ้นได้นานนั้น คือ การรักษาต้นทุนของเราไว้ไม่ให้หายไปไหนไปมากกว่าที่เราควรจะเป็น
* ผมเชื่อว่าวิธีการซื้อขายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเล่นเทคนิค บางคนพื้นฐาน แต่ทำไมคนเหล่านั้นยังประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นได้ สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือบุคคลเหล่านี้ใช้ปัญญาในการเล่นหุ้น หรือกล่าวคือ ให้จิต รู้เท่าทันตนเอง มิให้อารมณ์ครอบงำจนมองไม่เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
* แน่นอนด้วยข้อความข้างต้นนี้ ผมได้ตรึกตรองดูแล้ว ตลาด ณ วันนี้ ผมมีความกลัวที่จะเข้า ผมมีความรู้สึกว่าตลาดขึ้นมาสูงเกินไป แต่แน่นอนนี้คือความรู้สึก หากลองใช้ปัญญาดูท่านจะรู้ว่า RSI ที่ระดับ 66 นั้นก็คือ ได้เฉลี่ย 2 / เสีย 1 เท่านั้นเอง ในขณะที่ SSTO 95 ก็คือ ราคาปิดอยู่ใกล้เคียงราคาสูงจนเมื่อหารกันแล้วได้ค่าออกมาสูง เส้นค่าเฉลี่ยที่ตอนนี้ ราคาสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยกล่าวคิอ ราคา ณ ตอนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 10 30 วันที่ผ่านมาเท่านั้นเอง และนี้ผมคิดว่าอาจเป็น ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่ผู้ลเล่นหลายๆคนอาจลืมไป
* ทว่าทีสิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจ ตลาดหุ้น เกิดจากผู้เล่นที่เข้ามาทำการซื้อขาย ในตลาดๆคล้ายกับว่าเป็นตัวละครที่เข้ามาก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นซึ่ง ผู้เล่นแต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกันออกไป โดยเราสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆได้ 2 กลุ่มคือ 1.ซื้อขายโดยมุมมองพื้นฐานหรือดูที่ตัวธุรกิจเป็นหลัก 2.ซื้อขาย โดยดูจากเครื่องมือต่างๆที่ให้สัญญาณซื้อขายแต่รูปแบบการซื้อขายของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน และมีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่ซื้อขายอาจจะเป็นบุคคลในกลุ่ม 1 หรือ 2 ก็ได้ซึ่งใช้ "อารมณ์กลัวและโลภ" ^^
* ที่นี้เราจะอยู่รอดในตลาดหุ้นได้อย่างไรในเมื่อเมื่อเราซื้อขาย เราจะอาจจะมีกำไร หรือ เราจะอาจจะขาดทุน ดังนั้นเรามีวิธีที่น่าสนใจคือ ถ้าเรามีกำไรเราจะปล่อยให้กำไรเติบโตไปอย่างไรและเมื่อเราขาดทุนเราจะหยุดการขาดทุนไว้อย่างไร
* ผมมีการบ้านในวันนี้คือ เราจะหาวิธีการในการซื้อขายอย่างไร ผมคิดว่าจะตั้งกฏกันขึ้นมาเพื่อเป็นมาตรฐานในการซื้อขายโดยผ่านการตรึกตรองวิธีพิจารณาไว้ก่อนในระดับ แน่นอนเราจะพบข้อผิดพลาดและผมจะนำมาแก้้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในภายหลัง ^^

บทความส่งท้ายสำหรับวันนี้ จากพี่พีร์ ของเราคนเดิมนะครับ

ถ้าคุณหน้าตาดี อายุการใช้งานน่าจะประมาณ 20 ปี
ถ้าคุณปัญญาดี อายุการใช้งานน่าจะราวๆ 30 ปี

แต่..

..ถ้าคุณความคิดดี อายุการใช้งานคือ ตลอดชีวิต...

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-31

วันนี้ผมมานั่งวิเคราะห์ STO ซึ่งดูผมใช้ข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลสมมุติขึ้นมา และลองทำการวิเคราะห์หาตัวเลข ตอนนี้ผมพบว่า ค่าของ STO นั้นเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก คิดง่ายๆ แต่การจะเข้าใจ STO เราอาจจะต้องทำความเข้าใจ ธรรมชาติของมันก่อนเด่วได้ความว่ายังไงผมจะมาบอกต่อน๊ะ

ที่เขาบอกที่ระดับ 80/20 - 90/10 อันนี้ผมขอให้ความเห็นว่าจริงนะครับ แต่เฉพาะภาวะที่ตลาดมีการขึ้นลงของราคาชัดเจน คือ ลงจาก 90 ไป 10 หรือ จาก 10 ไป 90 แน่นอนเวลาที่ตลาดผ่านไปแล้ว หลายๆคนคงเสียดายที่ได้ เข้าหุ้นไว้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อ STO แตะที่ระดับ 10,20 แล้วตัดเส้น D% ขึ้นมา จะมีสักกี่คนที่จะกล้าเข้ามาเทรดจริงในตลาดอันนี้ผมว่าเป็ฯเรื่องน่าคิดนะครับ ^^ เช่นเดียวกันในภาวะที่ STO วิ่งจาก 10 ไป 90 แล้ว แต่ราคาก็ยังคงขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จะมีใครกล้าเข้าซื้อตามหรือไม่ ผมพบว่าสาระสำคัญที่เราอาจจะต้องทำความเข้าใจหน่อย

STO ให้สัญญาณการเข้าซื้อที่ดีในช่วงที่ตลาดเกิดการกลับตัวเมื่อมีเทรน และมักจะเกิดพร้อมกันกับ สัญญาณ Reversal ของ MACD HIST ซึ่งอาจสรุปได้ว่า STO สามารถใช้ได้ดีเมื่อตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง นั้นคือไม่มีคนเข้าซื้อขาย ช่วงนี้และโดยส่วนมาก Volume จะเบาบางเทียบกับก่อนหน้า แนวโน้ม Momentum หรือแรงที่เปลี่ยนไปจากแนวโน้มก่อนหน้าอย่างชัดเจนแต่จะรู้ได้ยังไงว่ามันเปลี่ยน อันนี้ต้องศึกษากันต่อไปหรือใช้ Indicator และการสังเกตุอื่นๆเป็นหลักครับ

แล้วเราจะรู้ได้ไงว่ากลับตัวตอนเปลี่ยนเทรนเป็นยังไง อันนี้ผมไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน แต่จากที่สังเกตุมาผมพบว่าส่วนเส้น K มักจะ โค้งตัดมาอย่างชัดเจน เอาเป็นว่าลองศึกษากันไปก่อนแล้วกัน เพราะผมก็ยังไม่เก่งเหมือนกัน

ในช่วงที่ตลาดอยู่ใน Trend แล้ว STO มักจะเคลื่อนที่แบบอยู่โซนบน หรือ อยู่โซนล่างไปเลย ซึ่งปล่อยครั้งให้สัญญาณการซื้อขายบ่อยเกินไปหรืออาจจะเรียกว่าเป็นสัญญาณซื้อตามก็ได้ ผมคิดว่าในส่วนของปัญหาตรงนี้ การนำ SMA 5 10 30 เข้ามาช่วยจะทำให้มองเห็นสัญญาณการตามเทรน และ จุด Stop ที่ดีกว่าแต่ไม่ว่ายังไงเราจะยังคงศึกษาต่อไป เหลือเครื่องมือีกตัวหรึ่ง คือ MACD WITH HIST ที่ผมยังไม่ได้ศึกษาเลย และผมคิดว่าถ้าผมศึกษาครบทุกตัวแล้ว เด่วผมจะลองมาทบทวนความรู้อีกรอบแล้วเด่วคราวนี้คงใกล้เวลาลงสนามจริงสักที ^^

วันนี้ผมใช้ Indicator น้อยลงตอนนี้เหลือแต่ Kelther Channal , sma 5 10 30 , RSI , STO , MACD WITH HIST ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้วในระดับหนึ่งไม่งั้นใช้เยอะไปเด่วมั่วไปหมด ^^


ยังไม่ลืมบทความประจำวันนี้

จาก "ขงเบ้ง"
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-30

วันนี้ครบรอบ 30 วันการเขียน บทความสบายๆของผมสักที ผมจึงมานั่งทบทวนเหตุผลในการลงทุนของผมอีกครั้งว่าผมต้องการอะไรกันแน่

* ผม "ลงทุน" เพราะผมอยากมีเงินเยอะๆ ซึ่งผมเคยวางเป้าหมายไว้ว่าผมต้องการจะมีเงินเยอะๆ เพื่อ
- ความสุขและความสุข ถ้าถามว่าความสุขของผมคืออะไร ผมในตอนนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้แน่ชัด ผมอาจจะอยากได้บ้านหลังงาม รถคันงาม หรืออะไรที่มันดูดีมีระดับ แต่ถ้าถึงเวลาที่ผมมีเงินเยอะๆขึ้นมาจริง ผมก็ยังไม่แน่ใจว่า ผมจะมีสิ่งของเหล่านั้นไปทำไมกัน หรือบางทีนะ ผมแค่อาจจะ... ก็ได้ ผมไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เมื่อเวลานั้นยังไม่มาถึง
- ผมได้อะไรจากชีวิตที่ผ่านมา ผมพบว่าผมมีนิสัยที่ชอบดึงประสิทธิภาพของสิ่งต่างๆเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดในด้านที่ผมต้องการ แต่ผมจะจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่น่าเกิดขึ้น
- ผมได้เรียนรู้จากโลกแห่งนี้ว่าที่สุดแล้ว มีเพียงเรา เส้นทางที่เราเดิน และจุดหมายปลายทางที่เหมือนกัน สิ่งที่ทำให้คนแตกต่างกันคือ เส้นทางที่เดินและจุดเริ่มต้นของคนๆนั้นเท่านั้น แต่ดูเหมือนผมจะให้ความสำคัญกับ เส้นทางที่เราเดิน มากกว่าสิ่งใด และเราจะรู้ว่าเรามีคุณค่ามากแค่ไหนเมื่อเวลาที่เราเดินมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
- สุดท้ายผมแค่ทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ในสิ่งที่ไม่ทราบว่ามีแรงกระตุ้นจากส่วนไหนของหัวใจ รู้เพียงแต่ต้องเดินต่อไป อาจมีหยุดบ้างพักบ้าง แต่เราจะไม่ถอยหลัง เราจะยังคงเดินต่อไป
ณ โอกาส ผมขอขอบคุณทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผมที่ทำให้ผมมีวันนี้

วันนี้ผมจะมาตั้งกฏในการเข้าซื้อขายหุ้นกัน แต่ผมรู้สึกว่ายังไม่สามารถตั้งได้ในวันนี้ - -* ไม่รู้เพราะอะไร เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้ STO เครื่องมืออีกตัวกันดีกว่า

เรามีเวปแนะนำ STO Story
STO = STOCHASTIC เป็นเครื่องมือ ( Indicator ) ตัวหนึ่งซึ่งมีสูตรดังนี้


สโตคาสติก = (ราคาปิดวันนี้ - ราคาต่ำสุดในช่วงเวลาที่พิจารณา)/(ราคาสูงสุด - ราคาต่ำสุดในช่วงเวลาที่พิจารณา)

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าสูตรของ STO เป็นสูตรตายตัวเราจะได้อะไรจากสูตรนี้มั้งมาดูกัน

George Lane บิดาแห่ง Stochastic กล่าวไว้ว่า
Lane ยังได้ให้มุมมองกับเราอีกว่า เขามองว่าเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายอย่างในทุกๆวันนี้ แท้จริงแล้วนั้นสามารถใช้ในการวิเคราะห์ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม นักเก็งกำไรส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถที่จะไล่ตามดูมันได้หลายๆอย่างๆในทีเดียว และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น

Lane มักที่จะรอสภาวะบางอย่างให้เกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะเข้าทำการเก็งกำไร ยกตัวอย่างเช่น เขาจะรอให้เกิดรูปแบบราคาแบบ Double Top หรือ Double Bottom ขึ้นมาก่อน และเขาได้บอกกับเราอีกว่า “ Volume หรือปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นมานั้น มักจะเบาบางที่จุดต่ำสุดที่สองของ Double Bottom และคุณจะต้องจำไว้ว่า คุณไม่ควรที่จะเข้าซื้อขณะที่ปริมาณการซื้อขายยังมากกว่าเดิมอยู่”

“Stochastics ยังสามารถที่จะช่วยให้คุณเห็นการ Convergence ที่จุดต่ำสุดของตลาด และ Divergence ที่จุดสูงสุดของตลาดอีกด้วย โดยคุณยังสามารถที่จะวิเคราะห์จากรูปแบบของราคาที่เกิดขึ้นมา เช่น การวกกลับของราคารูปแบบต่างๆ มันมีรูปแบบเป็น 10อย่างในการซื้อและการขายเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาเป็นและทำให้ทุกคนรู้จักเขานั่นก็คือ การที่เขาเป็น “บิดาแห่ง Stochastics” นั่นเอง George Lane ได้พูดเอาไว้ว่า “Stochastics คือเครื่องมือในการวิเคราะห์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากแนวคิดทาง Momentum ของการเคลื่อนไหวของราคานั่นเอง” และ “มันเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้วิ่งตามราคา มันไม่ได้วิ่งตามปริมาณการซื้อขาย(Volume) หรืออะไรอย่างนั้น แต่มันเป็นเครื่องมือที่บ่งชี้ค่าไปตามความเร็วของการเคลื่อนไหว หรือที่เรียกว่า Momentum ของราคานั่นเอง ซึ่งหลักการก็คือว่า Momentum จะเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนที่ทิศทางของราคาจะเปลี่ยนไปนั่นเอง”เขายังได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบอีกเช่นว่า มันคล้ายกับการที่เมื่อปล่อยจรวดขึ้นฟ้าไปแล้ว ก่อนที่จรวดจะหักหัวกลับลงมานั้น เราจะเห็นว่ามันจะต้องเกิดการเคลื่อนไหวที่ช้าลงเสียก่อน โดยเขาได้พูดเอาไว้ว่า “การลดลงของ Momentum นั้น จะเกิดขึ้นก่อนที่วัตถุจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของมัน” และเขายังบอกอีกว่า “มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของทิศทางล่วงหน้า และนั่นคือหน้าที่ของมัน มันช่วยในการคาดเดาการเปลี่ยนแปลงทิศทางของราคา”“มันกลายมาเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่วิเศษเป็นอย่างยิ่ง มันใช้ได้จริงและเชื่อถือได้ค่อนข้างมาก คุณยังสามารถใช้มันได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นกราฟแบบราย 3 นาที หรือรายวัน หรือรายสัปดาห์ก็ได้”

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-29

วันนี้ตื่นมาไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งเล่น Dota อยู่ ว่างๆเบลอๆหลังเล่นเลย เอาหนังที่เขาว่าดีอย่าง Top SecreT วัยรุ่นพันล้านมาอ่านกัน ผมพบว่าหนังเรื่องนี้เปิดมุมมองของคนที่สู้ชีวิต วันนี้อาจจะเป็นวันที่ผมไม่ได้สนใจเรื่องหุ้นเลยก็ได้ ผมคิดว่าในเวลาอันใกล้ ผมคงต้องทบทวน เป้าหมายของตัวเองอีกสักครั้งหนึ่งเพราะผมคิดว่า วันที่เราอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร นั้นคือวันเราถอยหลังจากเป้าหมายลงเรื่อยๆ

คิดได้ดังนั้นวันนี้เลยมานั่งทบทวนและนำกราฟในระดับ Week ซึ่งผมคิดว่าจะใช้เป็นกราฟหลักในการเข้า ซื้อ ขาย

17 ก.พ. 2555 กราฟ SeT ขึ้นชนแนวต้านสำคัญถ้าผ่านและยืนได้ เป็นจุดที่น่าเข้าซื้อตามมาก แม้จะช้าไปมากก็เหอะ - -*

ในกราฟ Set ระดับเดือนกลับตัวลงมาแล้วกลับขึ้นไปที่ระดับ 38.20 % ปัจจุบันลุ้นไปไฮเดิมและมีสัญญาณ RSI Bearish Divergence เบาๆ

กราฟ Set ระดับวันกำลังวิ่งอยู่ภายในกรอบอย่างสวยงาม RSI มีสัญญาณ Hidden Bearish Divergence เตือนเบาๆออกมา

ลองตีกราฟ ราคาทองคำเล่น พบว่าเมื่อกราฟวิ่งทะลุแนวต้านที่ตีเส้นไว้ก็วิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
และมีแรงซื้อขาย ยื้อกันไว้ที่ระดับประมาณ 1700 มาสามสัปดาห์แล้ว

มีข้อสังเกตุว่าก่อนการตกของราคาทองคำหนักๆเมื่อปลายปีที่แล้วมีสัญญาณ Hidden Bearish Divergence ออกมาเตือนเบาๆก่อนล่วงหน้า ก่อนตกจริงอย่างหนัก


กราฟทองระดับวัน ในอดีตเคยทะลุสามเหลี่ยมล่างลงไป จากนั้นราคาไหลลงอย่างรวดเร็วและปัจจุบันทะลุแนวต้านเดิมขึ้นมาแล้ว โดยเส้นดังกล่าวเป็นเส้นรับไปแล้วในปัจจุบัน









เช่นเดิมบทความประจำวัน จาก ต็อบ เถ้าแก่น้อย อาจจะไม่เกี่ยวกับตลาดหุ้นแต่ลองเอามาดูกัน

“คนเราจะทำธุรกิจอะไรที่ไม่รู้จะต้องกล้าที่จะถามอย่าไปอายกับความรู้
กลยุทธ์ในการประสบความสำเร็จของผมไม่ยาก คือ หนึ่งถาม สองถาม
สามก็ถามอีกน่ันแหละ”
ยี่ห้อ”เถ้าแก่น้อย”มาจากความบังเอิญ ...

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-28

วันนี้ผมลองนำความรู้ที่ได้มาลองใช้ดูกับ SeT ของเรา ผมพบว่าผมยังไม่สามารถใช้ได้ดีเลย 555+ แต่ผมได้มุมมองหาสัญญาณซื้อขาย ของ RSI ซึ่งกรอบการซื้อขายนั้นดูจาก TrenD และ TimeFrime เป็นหลัก ถึงแม้เทรนใหญ่จะเป็น SideWay Up แต่ที่เรากำลังเทรดนั้นเป็น รูปแบบไหนต้องดูให้ดี บางทีอาจเป็น UpTrenD หรือ Sideway Down ก็ได้ อันนี้ต้องศึกษากันไป

บทความประจำวัน กับ ความรู้สึกก่อนตาย

นำบทสรุปของบทความมาให้เลยละกัน

ทั้ง 5 ข้อนี้ คือสิ่งที่ผู้ป่วยที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิต รู้สึกเสียใจหรืออยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลง ...

(1) พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง มากกว่าตามความคาดหวังของคนอื่น
(2) พวกเขาจะไม่ทำงานหนัก
(3) พวกเขาน่าจะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้
(4) พวกเขาจะอยู่กับเพื่อนเก่าๆ ให้นานกว่านี้
(5) พวกเขาน่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่านี้

พวกเรานับว่าโชคดีมาก ที่วันนี้ยังมีเวลาคิดพิจารณา ... ซึ่งเวลานั้นก็น้อยลงทุกวินาที :)

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-27 ( RSI )

วันนี้ได้อ่านบทความต่อไปเรื่อยๆใกล้จะจบแล้วแต่ผมก็ยังงๆ อยู่ ผมคงจำได้ว่า RSI คือ ค่าการเฉลี่ยระหว่าง ได้/เสีย และด้วยสัดส่วนต่างๆที่แสดงออกมามีคนนำไปวิเคราะห์หาเหตุผลและความน่าเป็นมากมายซึ่งผมคิดว่า เราละเลยจุดสำคัญหนึ่งของ RSI ไปคือ มันเป็นสูตรทางตัวเลขที่แสดงค่าออกมาเป็นรูปแบบ ซึ่งเป็นค่าที่ตายตัว จริงๆเราน่าจะมองให้มันง่ายๆน๊ะ ว่า

1.RSI เยอะก็แปลว่าเฉลี่ยก่อนหน้านี้มันได้เยอะกว่าเสีย
2.RSI น้อยก็แปลว่าเฉลี่ยก่อนหน้านี้มันเสียเยอะกว่าได้

ซึ่งสำหรับผม ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆน๊ะ - -* โอเคจบก่อนสำหรับความคิดเห็นผมในส่วนนี้ ต่อไปเป็นกฏที่ JH ได้แนะนำ

Rule # 4
An Uptrend is indicated when:
1 . RSI is in the 80/40 range
2. The chart shows simple bearish divergence
3. The chart shows Hidden bullish divergence
4. The chart shows Momentum Discrepancy Reversal Up
A Downtrend is indicated when:
1 . RSI is in the 60/20 range
2. The chart shows simple bullish divergences.
3. The chart shows Hidden bearish divergence
4. The chart shows Momentum Discrepancy Reversal Down.

สำหรับบทต่อไปที่ผมจะอ่านเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่าง ราคา กับ ระดับ RSI RetracemenT และผมพบว่าผมไม่ค่อยได้อะไรจากบทความนี้

มาถึงบทสรุปของเรื่องนี้กันเลย ซึ่งแน่นอนผมเป็นคนสรุปเอง

1.ข้อเท็จจริงของ RSI คือ เครื่องมือที่มีสูตรคำนวณ 100 - 100 / ( 1+ RS ) หรือ R*U/U+D นั้นคือเหตุผลที่ RSI คือ ค่าเฉลียราคาส่วนได้ / ส่วนเสีย และนี้คือทั้งหมดของ RSI ^^ ซึ่งภายหลังเราจะไปนำวิเคราะห์ใช้ในทางอื่น ซึ่งสรุปแล้วเราคงต้องใช้การสังเกตุพฤติกรรมต่างๆเพื่อใช้ในการพิจารณาในรูปแบบของเราต่อไปโดยอ้างอิงจากการสังเกตุ สถิติ และการวิจัยต่างๆบ้าง

2.ผู้เล่นที่ใช้ Time Frame มากกว่ามีผลต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้เล่นเหล่านี้มองระยะไกลและถืออยู่ยาวนาน นั้นคือเหตุผลที่เขามีอิทธิพลเหนือผู้เล่นระยะสั้นกว่า เพราะมีการเข้าๆออกๆบ่อย หรือ ให้สรุปคนที่มองระยะยาวกว่า มีผลต่อตลาดมากกว่าคนที่มองระยะสั้นกว่า

ต่อไปนี้เป็นบทสรุปของ RSI จาก John hayden

RSI พื้นฐาน


RSI และจุดอันตรายของเทรน Danger TrenD


และสุดท้ายอัตราที่สัมพันธ์กับค่า RSI

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-26

วันนี้ก่อนจะเริ่มอ่าน RSI ต่อไปผมเปิด Set มาดูบ้างผมพบว่าลงมาเกือบ 10 จุดเล่นเอางงไปเลย มันมาแบบไหนวะนี้แต่ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรมาก ผมจึงลองดูกราฟใหญ่ของ Set กันเลยว่ามีจุดสำคัญตรงไหนบ้าง เลยเอากราฟพร้อมรูปมาอธิบายให้ดูกันเลย








วันนี้ผมอ่านบทความ RSI ต่อจากเมื่อวาน ได้ใจความสำคัญดังนี้

1 . In an uptrend, the RSI finds resistance at 80 and support at 40 Or 33.33
โดยปกติแนวต้านของขาขึ้นมักจะอยู่ที่ระดับ 80 หรือ 4 : 1 โดยมีแนวรับที่ระดับ 40 ซึ่งจากการวิจัยเขาพบแนวโดยส่วนใหญ่แนวรับจะอยู่บริเวณ 40 มากกว่าบริเวณ 33.33 ซึ่งเป็นค่าที่มีนัยสำคัญ
ถ้าภาพใหญ่เป็น UpTrenD เขากล่าวอ้างเมื่อถึงระดับ 40 แล้ว นักเทรดที่ใช้ภาพระยะใหญ่กว่าจะเข้ามาซื้อเป็นผลให้กลับขึ้นไปใหม่และโดยส่วนมากมักจะอยู่ใกล้กับระดับ 40 บ่อยครั้งกว่า 33.33

2. In a downtrend, the RSI finds resistance at 60 or 66.66 and support at 20.
โดยปกติแนวรับของขาลงมักจะอยู่ที่ระดับ 20 หรือ 4 : 1 โดยมีแนวต้านที่ระดับ 60 ซึ่งจากการวิจัยเขาพบแนวโดยส่วนใหญ่แนวต้านจะอยู่บริเวณ 60 มากกว่าบริเวณ 66.66 ซึ่งเป็นค่าที่มีนัยสำคัญ
ถ้าภาพใหญ่เป็น DownTrenD เขากล่าวอ้างเมื่อถึงระดับ 60 แล้ว นักเทรดที่ใช้ภาพระยะใหญ่กว่าจะเข้ามาขายเป็นผลให้กลับลงไปใหม่และโดยส่วนมากมักจะอยู่ใกล้กับระดับ 60 บ่อยครั้งกว่า 66.66

ผมอ่านบทต่อไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Divergence (ขัดแย้ง) ผมพบอะไรง่ายๆเช่นว่า เราจะพบ Bullish Divergence ในเฉพาะ DownTrenD เท่านั้น เพราะในอัพเทรนมันไม่ Divergence ผมได้ข้อสรุปง่าๆเกียวกับเรื่องนี้ว่า

1.ถ้าตลาดยังอยู๋ใน TrenD อย่างชัดเจนไม่มีเหตุผลที่เราจะซื้อ/ขาย สวน TrenD แม้ว่าจะเกิดสัญญาณก็ตาม ยกเว้นเพียงกรณีเดียว คือ มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเทรน หรือ กล่าวง่ายๆคือ กำลังซื้อ/ขายอ่อนลงและเกิดสัญญาณต่างๆขึ้น และนี้ถือเป็นสัญญาณที่มีนัยสำคัญ ในขณะเดียวถ้าแนวโน้มยังชัดเจนอยู่การที่เกิด Divergence ต่างๆขึ้นอาจเป็นสัญญาณเตือนให้ ขาย(Short)/ซื้อ(เก็งกำไรระยะสั้น) หุ้นออกไปก่อนเพื่อรอโอกาสดีๆที่อาจมาถึง และนี้อาจไม่ได้เป็นสัญญาณที่มีนัยสำคัญในขณะเดียวกันการกระทำในกรณีหลังมีความเสี่ยงคือ 1).อาจสร้างกำไรได้เล็กน้อย หรือ 2).เสียหายมากมาย

-เขาบอกอีกว่าโดยส่วนมากที่ราคาขณะเกิด Divergence ส่วนมากจะกลายมาเป็น SupporT / Resistance

-ความสำคัญของ Divergence ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา หรือ TimeFrame และ Period "N" เงื่อนเวลาเช่นเดียวกัน

เรื่องเดียวกัน Divergence นั้นเอง เขาบอกว่ามีสัญญาณหนึ่งเป็นนัยสำคัญในการกลับที่ นักเทรดที่ไม่เข้าใจมักจะมองข้ามไปนั้น คือ Hidden Divergence ซึ่งโดนส่วยมักจะเกิดในช่วงแนวรับสำคัญนั้นเอง ^^

เราได้กฏใหม่ๆอีกแล้วนั้นคือ

An Uptrend i s indicated when:
1 . RSI values remain in an 80/40 range
2. The chart exhibits simple bearish divergence
3 . Hidden bullish divergence are seen
A Downtrend is indicated when:
1 . RSI values remain in a 60/20 range
2. The chart exhibits simple bullish divergence
3 . Hidden bearish divergence i s seen

วันนี้ยังไม่ลืมบทความดีๆอีกหนึ่งบทที่เอามาฝากกัน


1.เข้าใจกติกา
ไม่ว่าจะเป็นการเล่น Roulette หรือการเทรด สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจกฏเกณฑ์
ถ้าเป็นเรื่องของการเทรด เราต้องเข้าใจถึง สินค้าที่เราเทรดอยู่
เช่น commodities กับ Forex ย่อมมี Leverage เเตกต่างกัน
ในความเเตกต่างกันของลักษณะตราสาร จะนำเราไปสู่การ บริหารหน้าตักที่ต่างกันด้วย

2.อย่าซื้อระบบ
การหมุนของ Roullette >>> ความน่าจะเป็นของการหมุนเเต่ละครั้งเป็นอิสระจากกัน
จึงไม่สามารถหาระบบทาง คณิตศาสตร์ มาจับได้
ตรงนี้จุดนี้ การเทรดสามารถหาระบบมาจับได้ >>> ทำให้การเทรดจึงดีกว่าการพนันอยู่มาก

3.ให้เลือก Erupean > American Roullete
เพราะเจ้ามือจะมีเเต้มต่อเราลดลง
>>> ตรงนี้เปรียบเหมือนค่าธรรมเนียมในการเข้าออก เวลาเทรดนั้นเอง

4.พยามเล่น ที่ความ น่าจะเป็น 50%
เช่น เลขคู่หรือคี่ , ขาวหรือดำ
จะทำให้เรามีพลังในการต่อสู้กับเกมส์ได้มากขึ้น
ถ้าเปรียบกับการเทรด
การเทรดนั้นจะมีความน่าจะเป็นคือขึ้น หรือ ลง นั่นเอง

5.อย่าเชื่อใน "ความน่าจะเป็น" 100%
บางครั้งการออกสีเเดงติดต่อกัน 10 ครั้ง ครั้งต่อไป ไม่จำเป็นว่าจะต้องออกดำ
เพราะความน่าจะเป็นยังอยู่ที่ 50-50.

6.จำกัดวงเงินไว้ล่วงหน้า
เช่นเราเตรียมเงิน 5000 บาท สำหรับการเล่น Roulette วันนี้
ถ้าหมดให้หยุด เเล้ว>>>> เเต่ถ้าเราได้กำไรให้เลื่อนจุดคัทลอสไปเรื่อยๆ
>>> สังเกตุนะครับ เหมือนวิธีการเทรดเลย
ต้องมี Cut loss / Trailing stop / Take profit

7.สนุกสนาน
เกมส์ Roulette จะเป็นเกมสืที่สนุกสนามที่สุด ถ้าเรารู้สึกสนุกไปกับมัน
ตรงนี้ถือเป็นหัวใจของการลงทุนเช่นกัน
ถ้าเรามีความสุขกับการลงทุนในตราสารนั้นๆ >>>> เมื่อเราตื่นมาตอนเช้า
เราจะพบว่ามีเรื่องน่าสนุกเยอะเเยะ สำหรับวันนั้นๆ เลย


>>> ทั้ง 7 ข้อนี้ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว
ลองนำไปประยุกต์ใช้กันดูนะครับ ^^

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-25

วันนี้ผมยังอ่านบทความของ RSi ต่อไปผมพบแนวว่าแนวคิดต่างๆที่เขาเขียนไว้นั้น สามารถเข้าใจได้ง่ายสิ่งหนึ่งที่เขาเน้น คือ เรื่องของลักษณะนิสัยการเทรด เขาบอกว่าเมื่อเกิดสัญญาณขายต่างๆ หรือ Divergence ถ้าคุณยังจะถือต่อไปมีความเป็นไปได้มากที่คุณอาจจะ

1.ได้กำไรเล็กน้อย หรือ 2.สูญเสียอย่างหนัก แต่ต้องดูภาพใหญ่ประกอบด้วยน๊ะ

มีหนึ่งสาระสำคัญที่โดนใจผมเหลือเกินเขาบอกว่า นักเทรดมือใหม่ๆมักจะมองตลาดอย่างที่ตัวเองคิดว่าจะเป็นคือแบบ มันต้องเป็นแบบนี้ดิ มันควรจะเป็นอย่างน้น อะไรทำนองนี้ ในขณะที่ผู้ชำนาญการเขามองตลาดอย่างที่มันเป็น คือ See It What It is Don'T See It U think It To Be

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ การมองตลาดในหลายๆเงื่อนเวลา เดือน / สัปดาห์ / วัน / 60 เป็นต้น ในแต่เวลาอาจจะมีกราฟที่ไม่เหมือนกันหนักและมีนัยสำคัญต่างกันออกไป สิ่งที่่เราต้องมองคือภาพใหญ่ก่อน แล้วค่อยๆย่อลงมา เราต้องดูว่าตอนนี้อยู่ในรูปแบบไหน โดยเราอาจจะดูเทรนได้ง่ายๆดังนี้

1.higher high / higher Low แน่นอน Uptrend ชัดเจน
2.Lower High / Lower Low แน่นอน Downtrend ชัดเจน
3.Lower High / Higher Low เทรน SideWay ทำรูปแบบ Triangle รอ BreaK ไปทางใดทางหนึ่ง
4.Higher high / Lower Low อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเทรนไหน คือ งง อะขอบอก

โดยส่วนตัวผมคิดว่าเทคนิค คือ ผลที่เกิดจากเหตุ ดังนั้นเราไม่สมควรคาดเดาอะไรจากเทคนิคเพียงแต่เป็นตัวบอกยืนยันแรงของตลาด

RSI คือ ค่าเฉลี่ยได้ / ค่าเฉลี่ยเสีย และนี้คือทั้งหมดที่ผมรู้เกี่ยว RSI วันนี้อ่านมาถึงหน้า 73 แล้วคร๊าบ และเช่นเดิม

เราจะมีบทความดีๆมาลงกันทุกวัน ^^ เกียวกับเรื่องเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่เพิ่งสอบไล่ตก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาทีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ได้เหรียญเงิน

ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน ลองเสียเพื่อนสักคนซิ

....เวลาไม่เคยรอใคร....

เมื่อมันผ่านไปแล้วมันจะไม่กลับมาอีก....จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด

........สำหรับตัวผมเอง..........ผมไม่เคยเสียใจกับเวลาแม้สักวินาทีที่ผมตัดสินใจทำอะไรลงไป

แม้บางทีผิดพลาด แม้บางเวลาอาจล้มลง แม้บางเวลาอาจโดนทอดทิ้ง บางทีอาจโดนกลั่นแกล้ง บางครั้งอาจไม่มีใครใส่ใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดผมเชื่อมั่นในเส้นทางผม แม้บางทีอาจมีเบาบางลงไป บางทีอาจรุนแรงบ้าง แต่ความรู้สึกเหล่านั้นยังคงอยู่ตรงนี้ ตั้งแต่ผมรู้สึกแบบนั้นจนวันนี้และตลอดไป

ถ้าท่านอยากรู้เวลาที่ผ่านมาทั้งชีวิตมีค่าขนาดไหน...ถามตัวคุณเองว่าคุณพอใจกับสิ่งที่คุณได้ทำทั้งในอดีตและปัจจุบันแค่ไหน....นั่นแหล่ะคือคำตอบที่คุณจะได้

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-24

วันนี้เป็นวันพักผ่อนครับ ไม่ค่อยได้ทำไรเลยวันนี้ 555+ แต่เรายังไม่ลืมบทความส่งท้ายสำหรับวันนี้ครับ

ขอลองลงรูปอะไรสะหน่อยน๊ะ ^^ ลองตีเส้นดูพบความสัมพันธ์อย่างน่าประหลาด

เส้นแนวต้านในสมัยก่อนกลายเป็นเส้นแนวรับในภายภาคหน้า ผมกำลังทบทวนความสำคัญ ถ้าเรามองตามกราฟ

เราจะพบว่ากราฟเป็นรูปแบบ SideWay Up ซึ่งมีการทะลุ BreaK OuT ขึ้นมา และเส้นที่ทะลุมากลายเป็นเส้น SupporT ไป ก่อนหน้านี้ 4-5 เดือนแม้จะมีหลุดแนวรับไปบ้างแต่ก็สามารถทะลุกลับขึนมาได้ สวยงาม





วันนี้เปนคำคมจาก พี่วิสาดคิด
ถ้าคุณทำตัวเป็นพระอาทิตย์...ความรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่...จะทำให้คุณมองไม่เห็นใครเลย
แต่ถ้าคุณอยู่ภายใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์...คุณจะมองเห็นทุกอย่าง

และเช่นเดียวกันถ้าคุณพูด...คุณจะไม่ได้ยิน
แต่ถ้าคุณฟัง...คุณจะรู้...

ราตรีสวัสดิ์คร้าบบ ^_^

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-23

วันนี้ตอนเช้ารวมวันก่อนผมอ่านบทความของฮาเด็นมาได้แล้ว 39 หน้า ซึ่งผมได้สาระสำคัญ คือ

1. เรื่องของการมองตลาดจากมุมมองของผู้อื่นต่างๆที่มองต่างแบบ และ มองต่างเวลา ผู้เล่นบางคนมองเล็ก ข้อมูลเล็ก บางคนมองอีก แบบซึ่ง การเคลื่อนไหวเหล่านี้ ก่อให้เกิดแรงซื้อ ขาย ต่างๆกันไป

2.การมองตลาดในเรื่องของแรงตลาดซึ่งทาง เฮเด็นได้กล่าวถึง ทาง 3 ทาง เพื่อประสบความสำเร็จ คือ
2.1 การเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างลึกซึ่ง
2.2 ระดับของ RetracemenT
2.3 การอ่านแรงผ่านทาง RSI

3.การเล่นตามตลาดหรือ Following ซึ่ง เฮเด็นให้ความเห็นว่า กราฟระดับ 5 นาที / 30 นาที / วัน จะใช้เป็นระดับสำคัญ
ส่วนการหาตำแหน่งสำคัญในเข้าออก จะใช้กราฟระดับ วัน / สัปดาห์ / เดือน เป็นระดับสำคัญ

โดยเขาบอกว่าการ เข้าใจระดับของ ReTracemenT นั้นมีเรื่องที่เกี่ยวข้องมาก จนไม่สามารถกล่าวจบในเล่มนี้ได้ แต่ในเรื่องของ RSI นั้น เป็นพื้นฐานการ RetracemenT ง่ายที่จะสามารถอธิบายได้ในบทความนี้

ผมก็คงจะอ่านต่อๆไปโดย มาสรุปรายละเอียดในภายหลังอีกทีหนึ่ง

แถมด้วยคลิปที่ สมควรดูเป็นอย่างยิ่ง Inspiration Of Steve Job

ส่งท้ายบทความด้วย ข้อคิดดีจากชายคนหนึ่ง

เชื่อว่าหลายคนเคยแพ้ เชื่อว่าหลายคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ ล้มเหลว
คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก

ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับ มหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อ มา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคน นั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของ โลก

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-22

วันนี้เลยไม่ได้ศึกษาอะไรมากเพราะวุ่นแต่เรื่องงาน แต่เราก็ไม่ลืมที่จะดูตลาดซึ่งมองกันตามความเป็นจริงตอนนี้ มา UptrenD ที่แข็งแกร่งนำโดยแรงซื้อจาก FunD FloW ซึ่งคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจาก US Dollar Carry Trade ซึ่งเข้ามาลงทุนใประเทศไทย ได้ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน และ ส่วนต่างราคา รอบนี้ผมถือว่าผมพลาดไปเพราะคิดว่าตัวเองสามารถ ทำนายตลาดได้ซึ่งผิดถนัด แต่ผมเลือกที่ยังดูอยู่ห่างๆดีกว่า เพราะผมมีเป้าหมายว่าต้องการจะมีเงินถึงระดับนึงก่อนแล้วจะเริ่มกันใหม่ ศึกษาหาความรู้มองดูความเป็นจริงของตลาดไปก่อน

ปล.บทความดีๆเบาๆ Thai Invest

ความคลาสิกของการใช้ชีวิตและการมีเงิน มันมีอยู่ว่า

บางคนเฝ้าหาเงินไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่อยากใช้ บ้างก็เริ่มมีเงินตอนสังขารไม่อำนวย บ้างก็เจ็บป่วยไปซะก่อน

ส่วนบางคนหามาได้เท่าไรก็ใช้ไปตามใจอยาก จนไม่เหลือเงินพอที่จะสร้างความมั่นคงและต่อยอดความเติบโตให้กับชีวิต เกิดเจ็บป่วยหรือมีเหตุจำเป็นกะทันหันก็ลำบาก จะคิดทำการใหญ่อะไรก็ไม่สามารถ

เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่สำคัญมากพอที่จะต้องมีให้พอ ... แต่หลังจากจุดที่พอแล้ว ก็อยู่ที่เราว่าจะตั้งจุดสมดุลให้กับชีวิตอย่างไร :)

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-21

วันนี้ผมเริ่มศึกษาเครื่องมือตัวเดิม RSI ซึ่งโดยส่วนตัวผมพบว่าผมอ่านเกี่ยวกับเจ้าเครื่องมือตัวนี้มาเยอะ เมื่อวานได้ลองคำนวณค่าต่างๆเองวันนี้เลยจะหาความรู้ใหม่ๆเพิ่มโดยเริ่มอ่านจากบทความของ John Heyden : RSI the complete guide ซึ่งมีบทความหนึ่งช่วงนำเรื่องเขาบอกไว้ว่า นักเทรดเดอร์มือใหม่มักจะนำเอา RSI ไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งผมก็ยังคงต้องศึกษาต่อไปว่ายังไงกันแน่

ปล.ตามเดิมบทความให้กำลังใจจาก S2M


เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเจอกับรุ่นน้องกลุ่มหนึ่ง

กลุ่มนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบในไม่ช้า และต้องวางแผนอนาคตของตัวเองว่าจะเดินไปทางไหน

หลายๆคน โชคดีที่สามารถค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักในเวลาที่ยังไม่สายเกินไป

และอีกหลายๆคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิต

เพื่อค้นหา.... บ้างก็หาเจอตอนที่ตนเริ่มมีอายุมากแล้ว ...บ้างก็หาไม่เจอ......

.บางคนถึงแม้หาเจอว่าสิ่งที่ตัวเองรักคืออะไร แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากความรับผิดชอบหลายๆอย่าง.......

โชคร้ายที่ อีกหลายๆคน ค้นเจอว่าตัวเองชอบอะไรในช่วงวัยที่ไม่สามารถ ‘เสี่ยง’ ที่จะเสียเวลาเพื่อพิสูจน์

มองกลับไปในช่วงสมัยเรียน ผู้เขียนก็เป็นอีกคนที่ไม่ทราบว่าตัวเองชอบอะไรเหมือนกัน….

และก็พยายามค้นหาหลายๆครั้ง ว่าสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดคืออะไร

จนกระทั่งวันหนึ่ง.....ได้มีโอกาสดูหนัง “Twilight eclipse” มีบทพูดตอนหนึ่งของ Jessica เพื่อนสาวร่วมห้องของนางเอก..... ได้เป็นตัวแทนกล่าวสุทรพจน์ในวันจบการศึกษา

เธอกล่าวไว้ว่า ................

“ เมื่อตอนที่เราอายุห้าขวบ .....พวกเขาถามเราว่า เราอยากเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น คำตอบก็มักจะซ้ำๆกัน เช่น นักบินอวกาศ ประธานาธิปดี หรือในกรณีของฉัน ....อยากเป็นเจ้าหญิง

เมื่อเราอายุสิบขวบ....พวกเขาก็ถามซ้ำคำถามเดิม และเราก็มักจะตอบว่า...อยากเป็น คาวบอย....นักร้อง ...และกรณีของฉัน ฉันตอบไปว่า อยากเป็น คนแกะสลักทองคำ

และในตอนนี้ พวกเขาอยากได้คำตอบที่จริงจัง...... คำตอบนี้ดีไหม ...... ใครมันจะไปรู้ !!!!

เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องรีบตัดสินใจ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องทำผิดพลาด.....

นั่งรถไฟผิดสาย.... ใช้เวลาอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆ.......ตกหลุมรัก (บ่อยๆ) .....ลงทะเบียนเรียนวิชา ปรัชญา เพราะคุณรู้ดีว่า ไม่สามารถใช้มันในการประกอบอาชีพได้ ......เปลี่ยนความคิด....แล้วก็เปลี่ยนอีกบ่อยๆ.... เพราะไม่มีอะไรถาวร

ทำผิดพลาดมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ .....

วันหนึ่ง เมื่อพวกเขาถามเราอีกว่าเราอยากเป็นอะไรในอนาคต..............ณ เวลานั้น เราไม่จำเป็นต้องเดา...

เพราะเราจะรู้ได้เอง”



หลายๆครั้งที่ความผิดพลาดเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดในชีวิต ………

เรามักจะไม่สามารถจำได้ว่า ผู้ใหญ่บอก ไม่ให้ทำอะไร... แต่เราจะจำได้ดีในสิ่งที่เราทำแล้วมันเป็นอย่างที่เค้าเตือนเราจริงๆ.....

ความผิดพลาดเป็นบทเรียนที่สอนไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีก ทำให้เรามั่นใจได้ว่า

ก้าวต้อไปจะต้องมั่นคงกว่าเดิม.......และก็อีกหลายๆครั้งที่ความเสี่ยงบางทีมันก็คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่จะได้มา......

High risk ก็ High return ใช่มั้ยคะ :D



แล้วก็อย่าลืมว่า .... The greatest risk of all is not taking one at all...

ความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการที่ไม่เสี่ยงอะไรเลย

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่พร้อมจะ ‘เสี่ยง’ เพื่อค้นหาความฝันค่ะ :)

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-20

วันนี้ ทำการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเลขการเกิด RSI ที่ระดับ 66.66 50 และ 33.33 ผมพบข้อเปรียบเทียบซึ่งง่ายนั้นคือเมื่อ RSI มีค่าเท่ากับ 66.66 นั้นแปลว่ามีแรงซื้อเป็น 2 เท่าของแรงขาย ที่ระดับ 50 แรงซื้อและแรงขายมีระดับเท่ากัน ในขณะที่ที่ระดับ 33.33 มีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ 2 เท่า สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อเรารู้กระบวนการเกิด RSI แล้ว สิ่งที่อาจมีความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน คือ ข้อมูลที่เรามาใช้ในการทำ RSI ซึ่งอันนี้ผมจะทำการศึกษาต่อไปเพื่อดูความคาดเคลื่อนระหว่างกันว่ามีเยอะไหม ^^

ปล.เปิดมาด้วยบทความดีๆท้ายวันก่อนเลยเดี่ยวอย่างอื่นค่อยคิด

การขอโทษ: นอกจากจะเป็นการลดอัตตา ว่า "ฉันต้องถูกเสมอ" แล้ว ... ยังเป็นการยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองและเปิดโอกาสให้ตัวเองพัฒนาแก้ไขได้ ... แถมยังช่วยเปิดโอกาสให้คนเขาให้อภัยเราได้ง่ายขึ้นด้วย

การขอบคุณ: นอกจากจะเป็นการลดอัตตา ว่า "ฉันนี้แน่สุด ไม่ต้องพึ่งใคร" แล้ว ... ยังเป็นการส่งสัญญาณให้คนที่เราขอบคุณ มีกำลังใจทำสิ่งดี (อย่างน้อยก็กับเรา) ต่อไป ... แถมยังเป็นการตอบแทนคุณอย่างง่ายและประหยัดที่สุดด้วย

การให้อภัย: นอกจากเป็นจะการลดอัตตา ว่า "ฉันต้องได้ทุกสิ่งที่หวัง" แล้ว ... ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้แก้ไขตัวเอง ... แถมยังเป็นการชำระจิตใจให้ผ่องใสได้อย่างเร็วที่สุดด้วย

"ขอโทษ" "ขอบคุณ" "ไม่เป็นไร" ... 3 คำนี้ ขอจำขึ้นใจ :)

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-19

วันนี้ผมวางแผนว่าจะศึกษาความสัมพันธ์ของ RSI และ SSTO ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกิดจากการคำนวณผมอยากจะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับขีวิต ผมพบจุดอ่อนอย่างหนึ่งของผม ผมยังมองไม่กว้างพอและบางทีผมไม่ค่อยจะยอมรับความจริงในเรื่องที่คิดผิด แต่ตัวเลขมันก็เห็นๆกันอยู่ว่ามันผิดจริงๆ

ตื่นเช้ามาไปเข้าเวรคิดว่าบ่ายๆน่าจะว่าง แต่พอมีเพื่อนทักมาปรากฏว่า... จัดหนักครับ 5555

ปล.ต่อจากนี้เราจะมีบทความดีๆวันละบทความต่อท้ายน๊ะจ๊ะ

คุณเป็นชาวหุ้นแบบไหนกัน แน่? ตอบให้ชัด ๆ อย่าหลอกตัวเองคนที่เข้าสู่ตลาดหุ้น เราเรียกรวมๆ กันว่า เป็นคนเล่นหุ้น หรือ หากมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน(มีการติดต่อ ส่งข่าวสาร ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพื่อนที่เล่นหุ้น มาร์เก็ตติ้งหรือ นักวิเคราะห์ แม้การติดตามดูข่าวสารจากสื่อ เช่นเวป ทีวี โดยส่ง sms หรือ โทรคุยโทรถาม ฯลฯ) เราก็เรียกรวมว่าเป็นชาวหุ้น(stock player)แต่ในกลุ่มสังคมชาวหุ้นกันเอง เรามักได้ยินเสมอ ๆ ว่า พวกนักลงทุน ซึ่งมักยกย่องตนเองว่า พวก vi (value investors)หรือ นักลงทุนคุณค่า (เพราะมี idol ในสังคมให้เห็นเป็นตัวอย่าง) ซึ่งคนส่วนใหญ่รวมทั้งคนที่เรียกตนเอง ก็ไม่ทราบว่า ที่แท้คืออย่างไร มีปัจจัยประกอบสำหรับ vi คือ ใช้วิธีตัดสินใจซื้อขายด้วยข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐานเป็นองค์ประกอบสำคัญ ดูสถิติ จากผลงานของกิจการเป็นหลัก รวมทั้งการแบ่งปันผลที่พึงพอใจ จากนั้นก็ติดตามข่าวสารของกิจการจนถึง วันที่ราคาพึงพอใจซื้อ ก็ซื้อไว้ด้วยเงินจำนวนเกือบเต็มพิกัดเท่าที่สถานะตนเองมี จากนั้นก็ตั้งเป้าหมายราคาขายที่พึงพอใจในอนาคต ตามหลักที่แท้จริงระยะเวลาอย่างต่ำต้องเท่ากับผลประกอบการที่กฎหมายหรือข้อบังคับระบุขั้นต่ำ คือทุกไตรมาส + กับเวลาที่ข้อกำหนดของตลาดหุ้นกำหนดอีก 45 – 60 วันทำการ รวมกันประมาณ ไม่น้อยกว่า 3 เดือนขึ้นไป ส่วนคำว่า มูลค่าคือ คุณค่า มีความหมายทางพฤตินัย คือ ไม่ใช่หาข้อมูลแบบหามรุ่งหามค่ำ หรือ ตั้งเป้าหมายเอากำไรเกินคาดผิดแปลกเหลือเชื่อ พอประมาณว่า พอเหมาะและการติดตามผลการลงทุนนั้นก็ไม่ถี่ยิบ อาจตรวจสอบสัปดาห์ละครั้งหรือ เดือนละครั้ง หรือ ตามสถานะการของข่าวสารที่มากระทบ จึงนับว่า มีคุณค่า มีความสุขแห่งตนก็พึงพอใจ ส่วนการไปแวะเยี่ยมกิจการ ถือเป็นส่วนประกอบในการหาข้อมูลในการตัดสินใจครานี้มาดู คนอีกกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่มากจนเกือบนับว่า ทั้งหมด ก็พอประมาณและเกิดขึ้นพร้อมกับการเปิดตลาดหุ้นเลยก็ว่าได้) สังคมหุ้นมักเรียกว่า นักเก็งกำไร (speculators) เป็นกลุ่มที่มีบางคนไม่ชอบ และมักให้สื่อโจมตีทางมิชอบ จนตั้งฉายา เป็นพวกแมงเม่า ที่โง่เขลา เล่นกับไฟ ตายบนกองไฟด้วยความเสี่ยง น่าอดสูยิ่งนัก ในเวลาต่อมา มีการพัฒนาวิธีการและใช้ข้อมูลสถิติเป็นตัวช่วย โดยนำมาวาดเป็นกราฟให้มองง่าย อ่านเร็ว ตัดสินง่าย จนมีผู้รู้ตั้งสูตรขึ้นมา ถึงปัจจุบันมากกว่า 50 สูตรแล้ว การใช้สถิติแบบนี้เรียกว่าการใช้เทคนิคทางกราฟ จนเป็น (technical speculators) และสำหรับใครที่มีความเข้มงวดมีวินัย ก็จะเข้าสู่ value speculators (vs) ซึ่งใช้วิธีตัดสินใจซื้อขายด้วย สถิติทางกราฟ และส่วนประกอบที่ปรับตามสภาพแวดล้อมพอเหมาะกับสถานการณ์และตนเอง เช่น parameter เวลา หรือ กฎต่างๆ เช่น เส้นแนวโน้ม (trend line)หรือกฎภาพรวมเวลา (timezone) หรือ ตัวเลขแห่งธรรมชาติ (finobacii) ฯลฯทั้งนี้ ส่วนมากต้องติดตามราคาในความถี่ที่ตนเองต้องการ จนต้องเฝ้าจอ และการที่ต้องเฝ้าจอก็เลยถูกจัดรวมเป็นพวก นักเก็งกำไรในความเป็นจริง นักลงทุนก็ต้องเฝ้าติดตามราคาเกือบทุกวันเวลา เพราะเงินที่ลงทุนไม่เงินเย็นมาก และโดยธรรมชาติจิตใจย่อมต้องการรู้ ต้องการปกป้องระวังภัยเงินของตน ถ้าไม่ใช่นักลงทุนแท้จริง ก็มักหวั่นไหวต่อการผกผันของราคา และส่วนมากก็ขายในเวลาเร็วกว่าที่มุ่งมั่นแต่แรก หรือไม่ก็ราคาติดดอยจนท้อใจจึงตัดใจคัท (cut loss)เราจะเรียกตัวเองเป็นพวกไหนดีล่ะ ลองเลือก ดู เช่น นักเก็งกำไร 30 วินาที , นักเก็งกำไร 100วินาที นักเก็งกำไร 30 วัน 30 สัปดาห์ 3 ปี หรือ นักลงทุนคุณค่า 60 วินาที 120 นาที นักลงทุน 3 เดือน นักลงทุน 5 ปี คุณเป็นพวกไหนกันแน่ ช่วยตอบให้ตนเองชื่นใจ หรือประกาศเสียงดังๆ ว่า ผมเป็นนักลงทุนคุณค่า 270 นาที (day trade) ผมไม่ใช่นักเก็งกำไร หรือ ร้องดังๆ ว่า ผมเป็นนักเก็งกำไรมือฉมัง 3 เดือน (ซื้อขายปีละ 4 ครั้ง) ลองหาคำตอบให้ตนเองดู แต่อย่าลืมกำหนดเวลาจริงที่ตนเองลงมือเสมอ ๆ

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-18

วันนี้ผมนั่งศึกษา RSI และได้พบกับบทความที่น่าสนใจและเปลี่ยนมุมมองของผมต่อ Indicator ตัวหนึ่งไปเลยและนี้คือ บทความซึ่งผมได้ใช้ภาษาของผมในการบอกต่ออีกทีหนึ่ง เครดิต RSI แม่งเม่า ซึ่งเป็นเรื่องผมยอมรับว่าน่าสนใจมาก แต่ผมยังติดใจเรื่อง Fibo ว่ามันเป็น 61.80 50.0 38.2 / 76.40 * 23.60 นึป่าว แล้วไอ 66.66 กับ 33.33 ของแกมันมาจากไหนว๊า - -* บทความวันนี้อาจยาวหน่อยเพราะไปก๊อปบทความเขามาลงไว้เพราะเห็นว่าน่าสนใจ

เริ่มต้นจากสูตร สูตรการคำนวณ 14 หรือ (X)วัน RSI

RSI = 100 - (100/1+RS)

RS = ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของราคาปิดใน 14 หรือ (X)วัน
ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงลดลงของราคาปิดใน 14 หรือ (X)วัน

หรือใช้สูตร

RSI = 100*U / U+D

U = AVERAGE OF 14 DAY’S UP CLOSES
(ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของราคาปิดใน 14 วัน)
D = AVERAGE OF 14 DAY’S DOWN CLOSES
(ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงลดลงของราคาปิดใน 14 วัน)

การคำนวณค่าเปลี่ยนแปลงจะเทียบเป็น 1 ต่อ 1 (หน่วย นาที/วัน/สัปดาห์) หรือจะดูจาก RSI ตลาดหุ้น
จะเห็นได้ว่าสูตรที่ 1 ถ้าค่า RS มีค่ามาก RSI จะได้ผลเยอะ เพราะ 100/1+RS ถ้า RS มีค่าเยอะจะได้ผลน้อยลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นนำ 100 มาลบถ้า RS มีค่าเยอะ จะได้ RSI เยอะ ถ้า RS มีค่าน้อยจะได้ RSI น้อย


*เหตุผมที่่เขานิยมใช้ 14 วัน เพราะจากการทดลองย้อนหลังพบว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ไม่รู้เขาทดลองกันยังไงน๊ะ 555 และนี้คือบทความสำหรับคนที่สนใจ RSI อีกบทความหนึ่ง อ่านไปใช้วิจารณญาณด้วยนะ
1. อะไรคือ Relative Strength Index (RSI) ?
RSI คือเครื่องมือวิเคราะห์ชนิดหนึ่ง เป็นเครื่องมือในการชี้วัดว่าหุ้นตัวนั้นแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อเทียบกับตัวของมันเองในช่วงที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบแรงของหุ้นโดยเฉลี่ย ในวันที่วิ่งขึ้นกับวิ่งลง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะถูกคำนวณออกมาอยู่ในสเกลระหว่าง 0-100 ถ้ามันมีค่ามากกว่า 70 จะถือว่าเป็นตลาดกระทิง แต่ถ้าค่าของมันต่ำกว่า 30 จะถือว่าเป็นตลาดหมี

2. วิธีการคำนวณหาค่าของ RSI
มาดูสูตรของมันกันครับ RSI สามารถคำนวณได้โดยนำค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของส่วนต่างราคาในวันที่หุ้นขึ้นในช่วงเวลา (X period) หารด้วยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของส่วนต่างราคาในวันที่หุ้นลงในช่วงเวลา (X period) ถึงแม้ว่าสูตรของมันจะดูง่ายมากๆ แต่มันสามารถนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของหุ้นได้เป็นอย่างดี เพียงเปรียบเทียบกับตัวของมันเองเท่านั้น จำนวนวัน (period) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือระยะเวลา 14 วัน

3. ระดับ Overbought และ OverSold
เขต OverSold ของ RSI ก็คือเมื่อมันมีค่าต่ำกว่า 30 ลงไป นักลงทุนหลายๆ คนมักใช้ช่วงเวลานี้ในการเข้ามาซื้อหุ้นหรือสะสมเพิ่ม ขอให้รู้ไว้ว่า... นี่อาจเป็นวิธีที่จะทำให้คุณขาดทุนได้ เนื่องจาก RSI นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชี้วัดความแข็งแกร่งของหุ้น แต่กลับมีบางคนที่พยายามจะซื้อหุ้นในขณะที่มันกำลังตกต่ำลงมาอยู่ ช่วงเวลาเดียวที่จะทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ได้ คือเมื่อตลาดแกว่งอยู่ในกรอบแคบๆ (Sideways) อย่างไรก็ตามหากคุณจะใช้วิธีการนี้หล่ะก็ คุณควรจะมีประสบการณ์และมีวินัยอย่างมาก เนื่องจากถึงแม้ว่าเราจะได้กำไรถึง 10 ครั้งติดๆ กันก็ตาม แต่หากคุณพลาดโดนแนวโน้มใหญ่ที่ตรงข้ามกับคุณเพียงครั้งเดียว นั่นอาจทำให้คุณขาดทุนอย่างหนักได้เลย

ในทางตรงกันข้ามกับเขต OverSold ก็ยังมีเขตที่เรียกว่า Overbought โดยมันจะเริ่มต้นเมื่อ RSI มีค่ามากกว่า 70 ขึ้นไป นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะตั้งขายเอาไว้เมื่อ RSI มีค่าสูงถึง 70 นี่ก็เป็นวิธีการที่จะทำให้คุณเสียเงินเช่นกัน เนื่องจากค่า RSI ที่สูงขึ้นไปนั้นย่อมมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังค่าของมัน มันเกิดขึ้นมาจากการที่หุ้นได้วิ่งขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง นักลงทุนที่ดีไม่ควรฝืนแนวโน้มใหญ่ และขาย Short ฝืนตลาด

4. การเกาะไปตามแนวโน้มโดยใช้ RSI
แทนที่เราจะใช้ RSI มาเป็นสัญญาณซื้อขาย หนทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั้นก็คือการนำมันมาใข้เพื่อการคาดคะเนแนวโน้มใหญ่ คนส่วนใหญ่นั้นมักจะมองไปที่ระดับ 30-70 แต่ระดับที่สำคัญที่สุดของค่า RSI ก็คือ ระดับ 33.33 และระดับ 66.66-66.67 ต่างหากหล่ะ นี่เป็นระดับที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราส่วน Fibonanci ในตัวของมันเอง ตั้งแต่ระดับ 50-66.67 นั้น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระหว่างการขึ้นลงยังอยู่ที่อัตราส่วน 1:1 แต่เมื่อไหร่ที่ RSI มีค่าถึง 66.67 แล้วหล่ะก็ อัตราส่วนที่ผ่านมาจะอยู่ที่ 2:1 นั่นหมายความว่าค่าเฉลี่ยการขึ้นของราคาจะมากกว่าการลงอยู่ 2 เท่า ซึ่งสามารถอนุมานได้ว่า แรงซื้อเป็นฝ่ายควบคุมตลาดอยู่ ส่วนระดับ RSI ที่ 50-33.33 นั้น ค่าเฉลี่ยการขึ้นต่อการลงของราคาอยู่ที่ 1:1 และเมื่อไหร่ที่ RSI มีค่าน้อยกว่า 33.33 แล้วหล่ะก็ อัตราส่วนจะกลายเป็น 1:2 ซึ่งหมายความว่าค่าเฉลี่ยการลงมากกว่าการขึ้นอยู่ 2 เท่า นั่นคือแรงขายเป็นฝ่ายควบคุมตลาดอยู่

ดังนั้นสิ่งสำคัญในการแปลความหมายก็คือ เมื่อไหร่ที่ RSI ได้มาถึงระดับที่สำคัญเหล่านี้ มันจะยิ่งเป็นการยากมากขึ้นที่ระดับของ RSI จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง เนื่องจากมันได้เคลื่อนที่อย่างแข็งแกร่งมาในทิศทางเดียวเท่านั้น

ลองมาดูตัวอย่างจริงๆ จากหุ้น GE สังเกตว่าตั้งแต่ RSI ตกลงมาต่ำกว่า 33.33 ในเดือนพฤษภาคม 2008 ค่า RSI ไม่สามารถวิ่งกลับไปที่ 66.67 ได้เลย หุ้นตัวนี้ไม่สามารถวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงได้อีก ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของการขึ้นนั้นไม่สามารถที่จะกลับมามากกว่าการลงเป็นอัตราส่วนที่ 2:1 ได้อีกเลย แรงของการเด้งสวนขึ้นมานั้นอ่อนแอมาก และหุ้นค่อยๆ ตกลงต่ำลงไปเรื่อยๆ นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมองไปที่เส้น 50 แต่คุณจะเห็นได้จากกราฟของ GE ว่าเส้น 50 ถูกแตะหลายต่อหลายครั้งทีเดียว แต่ลองสังเกตที่เส้น 66.67 ดูสิครับ มันไม่ถูกแตะต้องเลย

สำหรับตัวอย่างสุดท้ายนี้ นำมาจากกราฟหุ้นของ Coca-Cola ในปี 2008 สังเกตว่าหุ้นได้ทำจุดต่ำสุดเมื่อต้นปี 2007 หลังจากนั้นมันได้วิ่งขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง และ RSI ไม่เคยกลับไปต่ำกว่า 33.33 อีกเลย และเช่นเคย เส้น 50 ให้สัญญาณผิดพลาดอยู่หลายครั้ง แต่การวิเคราะห์แนวโน้มจาก RSI แบบใหม่นี้จะได้ผลมากกว่า การที่จะใช้เส้นระดับ 33.33 และ 66.67 นั้น คุณต้องมองหาหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งก่อน อีกวิธีที่จะหาหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งก็คือ การหาหุ้นที่อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยสำคัญของมัน ซึ่งราคาหุ้นที่ได้เคลื่อนที่อย่างมีนัยยะสำคัญ หลังจากสามารถระบุแนวโน้มอย่างชัดเจนแล้ว ให้มองหาระดับ RSI ที่ได้สอนในที่นี้ไปแล้ว เพื่อช่วยให้คุณอยู่ฝ่ายเดียวกับตลาด

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-17

วันนี้ผมเริ่มมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง Indicator และผมคิดว่าผมยังไม่เข้าใจ indicators ต่างๆนี้มากพอ ดังนั้นผมจะเริ่มศึกษาเจาะลึกลงไปในแต่ละตัวเรื่อยๆ ^^ เริ่มด้วย SSTO หลังจากเริ่มศึกษา พบว่าสูตรการคำนวณนั้นง่ายมาก
K%=(ราคาปัจจุบัน-LowestLow)(Highest high-LowestLoW)*100 ซึ่งจะได้ค่าเป็น Percent%
D%=SMA of %K
โดยจะแบ่งเป็น Fast Slow Full โดยตัว Fast นั้นเหมาะกับการเก็งกำไร Slow เหมาะกับสัญญาณการเข้าออกสำคัญ
ในส่วนของ Periods นั้นแล้วแต่เราจะกำหนดโดยปกติจะเป็น 14 หรือจะเร็วหน่อยก็ 9 หรือแล้วแต่จะกำหนด

จะเห็นได้ว่าค่า STO นั้นเป็นค่าคงที่ตายตัวแต่ สิ่งที่เราคิดหรือวิเคราะห์นั้นเป็นสิ่งที่เรามาตีความหมายกันเอง ดังนั้นหมายความว่าถ้าคุณเข้าใจ ธรรมชาติ ของเครื่องมือตัวนี้ เราก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แต่การเข้าใจความไม่แน่นอนของจิตใจมนุษย์นี้ไม่ง่ายเลยทีเดียว ^^ ว่ากันต่อไป และโดยปกติ Over Buy ของ STO จะอยู่ที่ 80% Over Sell จะอยู่ที่ 20% (ตามตำรา) หมายความราคานั้นเหยียบต่ำหรือถีบขึ้นสูงมากๆแล้ว แต่ก็นะไม่ได้หมายความว่ามันจะขึ้นหรือลงต่อไม่ได้อีก ^^

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-16

วันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์แล้ว ผมรู้สึกว่าใจผมมันยังไม่ค่อยนิ่งหลังจากที่ผมผิดพลาดจากการมองตลาด ผมเลยพยายามจะไม่มองมันเข้าไป พูดง่ายๆคือตอนนี้ ผมพักสายตาจากตลาดหุ้น และหันไปมองสิ่งรอบข้างวันนี้ผมเอารถ เก่าๆของผมไปติดกันขโมย รีโมท และก็ เซ็นเซอร์หลัง เปลี่ยนเครื่องเล่นเพลงใหม่ รถหลังจากอัพมาแล้วนี้ ถูกใจผมมากเลย ^^

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-15

วันนี้พักผ่อนเบาๆครับ พยายามทำความเข้าใจเรื่องความกลัว ความโลภของมนุษย์ บางทีอาจจะดูต่างกันแต่เมื่อมองจากหลายๆมุมแล้ว มันก็เหมือนกันนี้หว่า ^^

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก่อนจะเริ่มเดินทางวันที่ X-14

วันนี้ผมก็ยังคงไม่ได้ใส่ใจตลาดสักเท่าไหร่ เพียงแต่มานั่งศึกษาเรื่องของกราฟต่างๆ และความสำคัญของ Fibo ที่ค่อนข้างจะมีนัยอย่างชัดเจน ^^