วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หุ้น ง่ายๆที่ผมเลือก

 วันนี้ว่างๆมาคุยกันเรื่องการลงทุน และแน่นอนสำหรับผมหุ้นนั้นเป็นตัวเลือกอยู่ในขณะนี้เพราะมีหลายอย่างที่ได้จากการมาลงทุนในหุ้น ผมเป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงินเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นผมจึงไม่มีอคติหรือความคิดใดๆเกี่ยวกับเศรษฐกิจในตอนแรกที่เข้ามาในวงจรนี้ ผมเลือกที่จะมองการลงทุนตามธรรมชาติที่มันเป็น ผมคิดว่าถ้าผมมองแบบที่ผมคิดว่ามันจะเป็นผมจะติดกับดักตัวเอง ผมมองดูมันเดินไปตามเส้นทางของมันวันแล้ววันเหล่า แล้วคอยหาจังหวะที่คิดว่าจะสร้างโอกาสที่ดีให้เราได้ แน่นอนมีความเสี่ยงอย่างมากมายรอคอยเราอยู่ ผมเลือกที่จะลงทุนในบริษัทที่เข้าใจได้ง่ายๆตามคนบ้านๆแบบผม เพราะผมไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ ผมเลือกจะซื้อหุ้นง่ายๆแบบ AIS MCOT CPALL เพราะมันเป็นอะไรใกล้ๆ AIS ก็เป็นเรื่องมือถือซึ่งเป็นเจ้าแรกและผมมองแล้วว่าจุดเด่นของ AIS และเป็นเหมือนสัญลักษณ์ยี่ห้อคือ ความแรงของคลื่นและจุดนี้เอง ง่ายๆแต่ใช้ได้ดีในการใช้มือถือของคนไทย MCOT ผมก็ฟัง SeeD กับเห็นรายการ The Star และก็โครงสร้างบางอย่างอีกนิดหน่อย แน่นอนการสื่อสารในประเทศไทยยังมีการแข่งขันอีกสูง โดยเฉพาะการชิงพื้นที่บนอินเตอร์เน็ต ผมมองว่า SociaL NetworK ในอนาคตจะสามารถสร้างการโฆษณาที่มีคุณภาพได้ แต่ถามว่าบริษัทไหนจะสามารถโฆษณาบนอินเตอร์เน็ตได้ดีหรือไม่นั้นวัดจากอะไร ผมเข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้ต้องการดูโฆษณา ผมจึงคิดว่าการหารายได้จากการโฆษณาในอินเตอร์เน็ตนั้นไม่ง่ายทีเดียว และแน่นอนบางที่มันอาจย้อนกลับสู่พื้นฐานหรือก็คือ การโฆษณาบนทีวี คุณลองไปหาดูสิว่าใครได้ประโยชน์มากที่สุด Cpall  7/11 เรานั้น หากคุณเป็นคนในเมืองกรุง คุณอาจคิดว่ามันก็มีเยอะเต็มไปหมดแล้วนิ งั้นผมถามเพิ่มอีก  1 คำถาม เราลองมองทำเลที่มี 7/11 นั้น เป็นทำเลที่ดีและต้องมีลูกค้าเข้าเยอะ เพราะนั้นจะกลายเป็นการสร้างให้คนเข้าตามๆกันไป ไม่ว่าจะเป็นสาขาไหนๆ จะว่าเป็นการมองทำเลตามหลักฮวงจุ๊ยด้วยรึป่าววน๊า ผมก็ยังเคยสงสัยอยู่น๊ะ แต่ผมการันตีได้เลยว่ายังมีอีกหลายท้องที่ในประเทศไทยที่ยังไม่มี 7/11 ส่วนมากเราจะเห็นในเขตเมืองกรุง หรือ จุดเจริญต่างๆ
           แน่นอนการลงทุนมีความเสี่ยงอย่ามองอะไรแต่ด้านเดียวเราต้องมองหลายๆด้าน มองไปตามธรรมชาติของมัน หุ้นที่ผมกล่าวถึงข้อดี ใช่มันก็อาจจะดีแต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีข้อเสียเราต้องไปศึกษากันต่อๆไป สิ่งหนึ่งที่ผมทำอยู่ตลอดเวลาสำหรับการลงทุนนั้นง่ายแต่ไม่หมู คือ อย่าขาดทุนและอย่าแพ้ใจตัวเอง
ปล.ที่ผมโพสต์บทความลงไปนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ^^

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รวม FB ต่างๆของเพื่อนนักลงทุน ^^

จัดเรท 1 สำหรับผมมาก่อนเลย
1.Pawawit
2.ThInvestForum
3.iSalarymanTrader
4.maoinvestor
5.ThaiStockTechnical
6.mangmaoclub
พอหอมปากหอมคอครับ อันนี้เฉพาะ FB ลองเขาไปดูแนวคิดในนี้นะครับ เอาไว้ศึกษากันไป

เทรดเป็นระบบ Simple But not Easy

ผมคงไม่แนะนำหุ้นเป็นตัวๆไปนะครับ เพราผมคิดว่า ต่างคนต่างสไตล์ครับ เราไม่สมควร ลอกเลียน กัน ^^

วันนี้เราแนะนำสำหรับคนที่ยังงงๆว่าจะเล่นหุ้นยังไงดีผมแนะนำว่าถ้า ณ ตอนนี้ ท่านยังงงๆอยู่ ผมขอให้
1.อย่าเล่นหุ้นตามข่าว ที่ไม่มีมูลเหตุของความจริง
2.อย่าเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรโดยไม่มีข้อมูลใดๆเลย
3.ถ้าท่านยังงงอยู่ ณ ตอนนี้ พื้นฐานก็ยังไม่ไหว เทคนิค ไม่รอด ให้เล่นหุ้นตามระบบครับ
เทรดตามระบบในความหมายของผมคืออะไร
คือ การเทรดโดยผ่านทางสัญญาณทางเทคนิค อาจจะงงว่าเขาใช้ยังไง เขามีบอกครับ ^^ และแน่นอนส่วนมากได้ครับประมาณ 70 % แต่ปัญหาคือ ความกลัว กับ โลภ ถ้ายังตัดสองตัวนี้ ไม่ได้ผมแนะนำให้ลองศึกษาไปก่อนครับ อย่าเพิ่งเข้ามาลงทุนหรือเล่นในตลาดหุ้นเลย
- ผมแนะนำเป็นหุ้นใน set100 นะครับ เอากันง่ายๆนะครับ โดยตัดกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาผันผวนหนักออกไป น้ำมัน+ยาง (โรงกลั่นไม่เกี่ยว)
- ณ ตอนนี้ ผมซึ่งก็มือใหม่ขิงๆ เทรดหุ้นตามระบบผ่านเว็ป E-finance นะครับ โดยถ้าหุ้นที่ผมถือวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ผมจะปล่อยให้เดินไปตามธรรมชาติของ หรือ ปล่อยกำไรมันวิ่งไป ( Run profit ) ในขณะที่ถ้ามันวิ่งลงโดยมีสัญญาณขายผมก็จะขาย แม้รู้ว่าพื้นฐานมันยังไม่สะท้อนผมก็ยังตัดใจขาย ( ไม่นับการถือหุ้นแบบ VI นะครับ )
ณ ปัจจุบัน ผม ถือหุ้น 5 ตัว คือ 1.Advanc 2.Rs 3.Mcot 4.Kbank 5.KK
ผมไม่เก่งนะครับเสียมาก็เยอะแต่ที่มีอยู่นิ ถือ หุ้นผู้รอดตาย อิๆ ที่ผมเลือกหุ้นพวกนี้ เพราะผมว่ามันเข้าใจง่ายดีๆ Simple But not Easy ^^

เพื่อนๆท่านใดเข้ามาอ่านแล้วไม่พอใจต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ^^

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พร้อมรึยัง - -"

หนักจัดๆ สัปดาห์หน้าจากบทวิเคราะห์ทุกสำนักเขาว่ากันว่าดิ่งเหวชัวร์ ผมก็ว่ามันดิ่งเหวแน่ๆ แล้วเด่วเรามารอดูกันว่าจะเป็นยังไงต่อไป อิๆ ( คิดดูไอตัวที่ใช้น้ำมันผลิต ราคาน้ำมันลด ราคามันน่าจะวิ่ง แต่แม่งลบหนักจัดๆเลย 555 ) ว่าไปครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไม่ไหวจะเคลียร์

สำหรับช่วงที่หายไปบอกตรงๆไม่ไหวจะเคลียร์ ตลาดหุ้นแดงกระจายครับ เริ่มจากวันแรกที่ นายชัด ชิดชอบ ประกาศเรื่อง นายก อภิสิทธิ์ฯ ยื่นทูลเกล้ายุบสภาแต่เมื่อประมาณ 16.00 น. นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่ได้ยื่นทูลเกล้าทำให้ ตลาดหุ้นปิดลงมา 20 จุด ได้ ไม่พอหลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์ สหรัฐออกแถลงการณ์การเสียชีวิตของนาย บิน ลาเดน หัวกลุ่มอะกออิดะ พร้อมกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ประกาศออกมา ทำให้ค่าดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย คือการตกลง ของสินค้าโภคภัณฑ์ นำมาโด่งด้วยโลหะเงิน ทอง และทีเด็ดน้ำมัน เรียกว่าหลังจากนั้นกลุ่มพลังงานลงแบบเละเป็นโจ๊กเลย ว่าปายนั้น จาก 120 ดอล/บาร์เรล กว่า ลงมา 90 ปลายๆ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ขอให้สู้ๆครับ ^^

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ศึกษาการวิเคราะห์ทางเทคนิค ผ่าน Internet

     ในวันหยุดที่เพื่อนๆหลายๆคนอาจจะยังมีอาการควันหลงหรือเมาหมัดจากตลาด ที่ผันผวนไปมาในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้เรา ผมจึงได้ลองไปศึกษาเครื่องมือทางเทคนิคจากเวปต่างๆทั้งในและต่างประเทศครับง่ายๆ ลอง Search ใน Google , Youtube ก็ได้ในเมืองไทยก็มีน๊ะ แต่เหตุผลที่ผมไปศึกษาเวปต่างประเทศเพราะคิดว่าน่าจะมีหลากหลายมากกว่าและเราอาจจะได้ข้อคิดดีๆด้วยอย่างผมก็ดูใน Youtube และในเวป อาทิ StocK  สำคัญที่สุดเลยคือ ยังไงเราก็ต้องรู้ตัวเราเองก่อนครับ ^^
    ปล.ผมใช้เทคนิค หรือที่เขาเรียกว่า Technical Analysis ในการหาจังหวะเข้าซื้อหรือ Timing สำหรับวิธีดูของผมง่ายๆ ครับ 3 ตัว คือ
   1.MacD ตัดขึ้น สำหรับผมไม่ต้องขึ้นมากนะครับ เอาแค่กำลังตัดขึ้นน๊ะสำหรับผม ( ชอบลอง อิๆ )
   2.Stochastic ลงมาต่ำกว่าระดับ 30 แล้วหักขึ้น หรือหักเป็นตัว V แล้วตัดขึ้น
   3.Ema 5 10 เส้น Ema 5 ตัดเส้น 10 ลงมาแต่ยังไม่ตัดเส้น 25 แล้วตัดขึ้นพร้อมสัญญาณสองตัวด้านบน
   4.Volume ที่มากกว่าปกตินิดหน่อย ^^
   ผมก็ง่ายๆครับแค่นี้ สำหรับผมเน้นหุ้นพื้นฐานอิงการบริโภคภายในประเทศ เพราะ เขาทำสงครามกันอยู่ไม่รู้พี่หรั่งแกจะทุบหรือเปล่าเด่วงานเข้าอีก แต่ก็รอซื้อหุ้นที่แดงเทือกอยู่นะครับ แต่มันเยอะเหลือเกินไม่รู้จะซื้อตัวไหนดี T_T ก็รอจังหวะแบบที่บอกไปแหละครับมีแค่นี้เอง

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

รู้จักกับตัวเองก่อน เข้าสนามรบ ^^

    วันนี้ว่างๆครับวันศุกร์ไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับเขาเลยมานั่ง เขียนบทความเผื่อจะมีคนเข้ามาอ่านครับ ^^ วันนี้ผมขอนำเสนอหัวข้อ การรู้จักกับตนเอง คือรู้ว่าตัวเองมีลักษณะนิสัยอย่างไรอ๊าครับ เหมือนที่เขาบอกรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ก่อนอื่นเรามารู้เราก่อนดีกว่า ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องรู้ก่อนลงทุนเลย ( ไม่งั้นอาจเกิดอาการเมาหมัดได้นะครับผมขอเตือน ฮ่าๆ เพราะโดนมาแล้ว อิๆ ) ผมแนะนำให้ไปหาหนังสืออ่านนะครับซึ่งก็มีอยู่แยะแต่ที่แนะนำแบบ มาตรฐานง่ายๆหน่อย ก็ของ ตลาดหลักทรัพย์ครับมีทั้งหมด 4 เล่ม ค่อยๆอ่าน งั้นผมขอย่อมาเป็นหัวข้อให้น๊ะ เผื่อเราจะได้กลับไปคิดบ้างว่าเราเหมาะกับการลงทุนประเภทใด
 ก่อนที่ต้องดู คือ ปัจจัยพื้นฐานง่ายๆ ครับ
    1.อายุ , สภาพร่างกาย , สถานภาพ
      - แน่นอนคนเรายิ่งอายุเยอะก็ยิ่งต้องสมควรเก็มหอมรอมริบไว้บ้าง เผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินไหนจะครอบครัว ภรรยาและลูกๆ อีก ดังนั้นส่วนใหญ่เมื่อมีอายุมากขึ้น เราสมควรจะลดสัดส่วนที่จะมาลงทุน ไม่ว่าแบบใด ให้น้อยลงนะครับหรือบางคนชอบ เทหน้าตักก็แล้วแต่ศรัทธา
      - สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงเสมอคือ เรื่องของสุขภาพทั้งทางกายและทางใจครับ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดีก็จะได้ทำอะไรได้สะดวกครับ เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจอย่างน้อยถ้าไม่ออกกำลังกายก็ต้องเลือกกินอาหารให้ถูกหลักตามที่ร่างกายแต่คนควรได้รับ ( บางคนเลือกเวลานอนไม่ได้ ผมเลยไม่ขอพูดถึง )
      - จำไว้เลยว่าสิ่งที่ราคาแพงที่สุดในโลก คือ เวลา ครับ จำไว้ให้ดีเลย ^^ ส่วนใครจะคิดอย่างอื่นก็แล้วแต่นะครับ ผมไม่ขัดศรัทธา
       สรุป ถ้าเรายังไม่มีภาระใดๆก็สามารถลงทุนได้แบบเทหน้าตัก รักหมดใจ ( แบบผมนี้ไง ) แต่ผมเหลือเงินสำรองไว้ส่วนนึงนะครับ ^^  ( เผื่อเที่ยว อิๆ )
    2.ทัศนคติ(ความถนัด)
      นั้นหมายถึงนิสัย การวิเคราะห์ของเราครับ ว่าเราเป็นถนัดด้านไหน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ
      2.1 การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
      2.2 การวิเคราะห์ทางเทคนิค
        ตัวนี้ผมไม่ขอพูดถึงแล้วกัน ผมเชื่อว่าเพื่อนๆทุนคนเมื่อมีความสนใจในด้านการลงทุนแล้วยอมต้องมีหมั่นเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างแน่นอน ดังนั้นอันนี้ทางใครทางมันครับแล้วแต่ถนัด แต่ผมซึ่ง เป็น"มือใหม่หัดขับ" เรียกว่าป้ายแดงไม่มีใบขับขี่เลยก็ยังได้ ผมถนัดทางเทคนิค มากกว่าแต่ผมก็ดูปัจจัยพื้นฐานซึ่งจะเน้นในเรื่องของ Growth และรูปแบบสินค้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเป็นหลัก ก็แล้วแต่คนถนัด ผมเลือกหุ้นจากพื้นฐาน หาจังหวะเข้าจากเทคนิคครับ ( Timing ) ^^ ปล.ผมสายผสม
   3.แนวโน้มการลงทุน ( นิสัย )
        พูดง่ายๆก็คือ วิธีการเล่นครับ เราชอบถือยาว หรือถือสั้น หรือเป็นแบบเห็นหุ้นแดง ต้นทุนติดลบแล้วใจสั่นๆแบบ ( ผมรึป่าว อิๆ ) ว่ากันไปครับ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนน๊ะครับ ให้มองของการกระทำของเราเป็นหลัก เพราะปกติคนเราชอบคิดว่า ตัวเองเก่งแบบ Warren Buffet หรือคนดังๆ แต่จิงๆไม่เลย เชื่อผมสิว่าไม่เลยน้อยคนมากที่จะทำแบบนั้นได้
       ดังนั้นเราจึงต้องเลือกหุ้นให้เข้ากับนิสัยเรา อย่างผมเป็นพวกใจร้อน ( แต่ไม่ขนาดซื้อมาขายไปวันเดียวน๊ะ ) แต่ค่อนข้างจะมั่งคงหน่อย คือ ใจมันร้อนแต่สมองมันยังนิ่งอะครับ ผมจะเป็นพวกเล่นเป็นรอบๆไป ยกเว้นตัวไหนที่มันไปแน่ๆ พวกที่มันเขียวตั้งแต่วันแรกที่ซื้อแล้วก็ขึ้นไปเรื่อยๆนี้ ผมไม่ขายนะครับ ขี้เกียจมาดูรอบมัน ^^ ( แต่ประสบการณ์ผมยังน้อยไม่รู้จะโดนใจท่านทั้งหลายบ้างไหม

    สุดท้ายถ้าท่านทั้งหลายเล่นแล้วได้กำไรก็คงมีความสุข ถ้าขาดทุนก็คงเซ็งไปตามๆกัน  แต่ผมไม่รู้แปลกคนอะป่าว ผมชอบดูหุ้น ศึกษาหุ้นดูไปเรื่อยๆผมว่ามันมีความสุขดีน๊ะ ^^ ( แต่ตอนนี้ผมยังไม่ขาดทุนน๊ะ ถึงจะโดนไปหลายดอกก่อนกลับมาได้ )
   

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

การวิเคราะห์ระดับเศรษฐกิจและนโยบายประเทศ

    เมื่อคราวก่อนได้บอกถึงการวิเคราะห์ราคาพื้นฐานของหุ้นไปแล้วคราวนี้เราก็มาวิเคราะห์ในระดับที่ใหญ่กว่า
  1. เรื่องแรกที่เราต้องรู้เลยก็ คือ อัตราดอกเบี๊ยและเงินเฟ้อ ซึ่งในปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อนั้นมากกว่าดอกเบี๊ยเสียอีกหมายความว่าถ้าคุณเอาเงินไปฝากทหารกินดอกเบี๊ย แต่หารู้ไม่ว่าเงินมันได้กินเราไปอีกที
   - ผมจะเปรียบเทียบให้ดูดัง    Ex.เงินเฟ้อ = 5% อัตราดอกเบี๊ย = 3%
      สมมุติวันี้คุณมีเงิน 100 ไปฝากดอกเบี๊ยนี้ปีจะได้เป็น 103 บาท ในขณะที่เงินเฟ้อทำให้ราคาสินค้า ผมขอยกตัวอย่างว่าน้ำ ราคาขึ้นไป 5% จากเดิม 3 ลิตร 100 เป็น 3 ลิตร 105 บาท ปัจจุบันปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่จะมีผลกระทบในระยะยาวหากไม่ได้รับการแก้ไข
  2. พฤติกรรมของตลาดหุ้นบ้าน คุณลองมาศึกษาดูแล้วคุณจะพบว่าตลาดหุ้นบ้านไวมากกับเรื่องข่าวสารและก็ชอบหุ้นที่มันแรง โวลุ่มสูงๆ นี้จะเข้ากันมันเลย อิ (ระวังติดดอยนะ) ลองไปศึกษาดูนะครับแล้วแต่มุมมองของคน ไม่แน่คูรอาจจับจุดถูกก็ได้รวยล๊ะ คราวนี้
  3. นโยบายการคลังของประเทศ เช่น การขึ้นหรือลดภาษีบริษัทซึ่งจดทะเบียในตลาดหลักทรัพย์ การประกาศลดดอกเบี๊ยการซื้อบ้าน 2 ปีแรกเหลือ 0% และไม่เสียค่าโอน ซึ่งของพวกนี้ถ้าเราติดตามดีๆจะพบว่าบางทีกระทบกับราคาหุ้นแบบกระโดดถึง 10% เลยทีเดียว ลองดูใน กรุงเทพธุรกิจ
  4.  นโยบายระหว่างประเทศ,อัตราแลกเปลี่ยน แน่นอนอาจไม่มีผลกระทบกับเรามากแต่ลองคิดดูว่า บริษัทในตลาดหุ้นที่ต้องค้าขายกับต่างประเทศจะกระทบขนาดไหน รวมถึงนโยบายที่ทำให้ นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนใน ตลาดเกิดใหม่ แบบตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็นการอ่อนค่าของค่าเงิน US ลองเข้าไปอ่านดูใน bloomberg ก็ได้ในครับ รวบรวมไว้เยอะมากแปลไม่ออกก็ Google ครับ
  5. การเมือง อันนี้ก็ง่ายๆครับ การเมืองเสถียรหุ้นมันก็ขึ้น ไม่ก็ลง แบบตามกระแสอ๊า (พี่ไทยมุง อิๆ)
  6. Business Cycle หรือวัฎจักรธุรกิจ ซึ่งอาจแบ่งง่ายๆเป็น 3 ประเภท คือ
     - Growth industry หรืออุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัว โดยส่วนมากมักมีการเติบโตสูงผิดปกติและเป็นอิสระจากภาวะเศรษฐกิจ ง่ายๆคือ เศรษฐกิจดีหรือไม่ดีก็ไม่มีผลกับตัวนี้เท่าไหร่หรอกครับ ^^
     - Cyclical industry หรืออุตสาหกรรมที่ขึ้นลงตามวัฎจักร ถ้าเศรษญกิจดี อุตสาหกรรมก็ดีไปด้วยง่ายๆคืออิงตามภาะเศรษญกิจ อิงตาม Demand ความต้องการสินค้า ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็ต้องการสินค้าตัวนี้มากขึ้น บริษัทก็กำไร อิๆ
     - Defensive industry หรืออุตสาหกรรมที่ไม่ตกต่ำตามเศรษฐกิจ ส่วนมากเป็นพวกที่คนเราต้องใช้เป็นประจำเช่น อาหารสำเร็จรูป มาม่า สบู่ ยาสีฟัน อ๊ะแล้วอินเตอร์เน็ตล๊ะ ของจำเป็นรึป่าวอิๆ
  7. เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ในอดีตผมจำได้ว่าเรายังฟังเทปวิทยุ ใส่ในเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆอยู่เลย วันนี้เทคโนโลยีได้เปลี่ยนไป เทปวิทยุ แทบไม่ต้องมีโหลดจากเน็ตอย่างเดียว อิๆ เราต้องตามกระแสโลกาภิวัฒน์ให้ทัน ไม่งั้นเด่วเขาจะหาแก่เอาน๊ะ
  8. การแข่งขันในระดับธุรกิจ ยกตัวอย่างง่ายๆ สบู่ยาสระผมครับ แค่นี้คงเห็นภาพเอาให้ชัดอีกก็ดูเสื้อผ้าครับ เอาให้สูงขึ้นไปหน่อยก็รถยนต์ครับ เอาใกล้ๆตัวก็สองแข่งขันเข้ามหาลัย ( อ๊ะมันธุรกิจยังไง ลองคิดดู )

เรียนรู้การวิเคราะห์หุ้น(เบื้องต้น)

   เมื่อผมได้ศึกษาการวิเคราะห์ ผมจึงทราบว่า เราจะมีการวิเคราะห์หุ้นอยู่ประมาณ 2 แบบ ใหญ่ๆ หรือที่เขาเรียกเป็นสำนัก ซึ่งก็คือ
    1.การวิเคราะห์ทางด้านพื้นฐาน ( ซึ่งผมรู้มาว่าเขาเรียกว่า Value Investor) อย่าง Warren BuffeT,peter lynch, ดร.นิเวศ เป็นต้น ( ผมใช้สำหรับคัดหุ้นที่คิดว่าจะลงทุน )
     แนวทางในการวิเคราะห์ในด้านนี้จะเน้นไปในเรื่อง
        -  อัตราการเติบโต พูดง่ายๆ ว่า บริษัท มีแน้วโน้มจะเจริญเติบโตมากขึั้น หรือ ไม่หรือว่าทำกำไรแต่ก็ยังคงเป็นบริษัทแบบนั้นเท่าเดิม เอาง่ายๆอย่่าง 7-11 มีการขยายสาขาอย่างรวดเร็วด้วยระบบการจัดการที่วางแผนมาอย่างดี  กับ  108shop ที่ยังไม่สามารขยายสาขาได้ดีเท่าไหร่คุณจะเลือกลงทุนในหุ้นตัวไหน และอย่าลืมด้วยว่าเราบริษัทจะเติบโตแบบยั่งยืนหรือว่าประเดี๋ยวประด๋าวก็ล้มไปอันนี้ต้องศึกษาครับ อิๆ
        -  ความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนสินค้าและปริมาณการผลิค ถ้าสมมุติว่ามีสินค้าอยู่ 2 ตัว A ต้นทุน 5 บาท ขาย 12 แต่ B ต้นทุน 4 บาท ขาย 10 บาท ในขณะที่คุณภาพนั้นใกล้เคียงกัน คุณจะเลือกซื้อตัวไหนครับ อย่าลืมดูปริมาณสินค้าเทียบกับราคาสินค้าด้วยนะครับ บางทีเมื่อเขาผลิตมาเยอะๆหรือมีออเดอร์มาเยอะอาจจะทำให้ต้นทุนสินค้าลดลงก็ได้น๊ะ ^^
        -  ค่าพื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับหุ้น ลองเข้าไปดูในเว็บนี้ http://siamchart.com/stock/ ก็ได้ครับ
 โดยค่าที่เรามักจะดูกันง่ายๆ คือ P/E  ,  Roe  , Roa , P/BV , TL/E
           โดยสามารถเปิดดูเบื้องต้นเกี่ยวกับศัพท์การเงินที่ ศัพท์การเงิน
        -  ระบบการจัดการ,การตลาด,ความสามารถของผู้บริหาร ระบบการจัดการที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าย่อมทำให้ สามารถตอบสนองตลาดได้มากกว่า อีกทั้งผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ต่อผู้ลงทุนย่อมจะดีกว่าอยู่แล้วถูกไหมครับ (ยิ่งถ้าผู้บริหารอยู๋ฝั่งเดียวกับผู้ลงทุนจะดีมาก) แล้วคราวนี้เราจะรู้ได้ยังไง เราก็ต้องศึกษาสิครับ คงไม่มีใครมาบอกเราหรอก
        - ภาวะหนี้สิน , เงินหมุนเวียน , กำไร เราจะได้รู้ว่าบริษัทที่เราเลือกจะลงทุนเขามีผลตอบแทนให้เราอย่างไรบ้าง ( แต่ผมแนะนำว่ามองระยะยาวดีกว่านะครับ )
        -
      ปล.นี้เป็นการมองพื้นฐานเบื้องต้นนะครับ เรายังต้องมองภาพใหญ่ของเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องวัฎจักร ความต้องการของลูกค้าด้วยว่าเขาต้องการอะไร ( แน่นอนชอบของดีราคาไม่แพงอยู่แล้วคับ)
เราลองมาดูกาวริเคราะห์ง่ายๆที่ Settrade แล้วพิมพ์ชื่อย่อไปเลยครับ ว่าดูกันว่าเขาวิเคราะห์กันยังไง
แต่อย่าไปเชื่อมากนะครับ เราต้องแยก ข้อเท็จจริง กับ สมมุติฐาน ของเขาด้วย

    2.การวิเคราะห์ทางเทคนิค Technical Analysis ( ผมใช้หาจังหวะเข้าซื้อ Timing )
         เรื่องของเทคนิคผมคงไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดนักผมแนะนำไปซื้อหนังมาอ่าน หรือ เข้าไปดูใน Youtube ครับ เขาจะมีสาธิตให้ดูพร้อมคำอธิบาย ( ภาษาอังกฤษนะจ๊ะ ) Search ใน Google ก็เป็นอีกหนุ่งทางเลือกที่ดีน๊ะ ^^
        ด้วยส่วนตัวผมใช้อยู่ 4 ตัวและผมแนะนำให้ลองศึกษาดูเพราะมันไม่ยากครับ
       - bollinger band ( BB ) หรือก็คือ ขอบเขตราคาครับว่ามัน สูงเกินไป หรือ ต่ำเกินไปหรือเปล่า โดยอิงจากเส้นของ BB ซุ่งมีทั้งสามเส้นครับ บน กลาง ล่าง
       - slow stochastic  ใช้ดูจังหวะซื้อขายง่ายๆครับ ถ้าเส้นมันตัดขึ้นก็ซื้อครับ มันตัดลงก็ขายครับ ลองไปศึกษา ตัวนี้ไม่ยากครับ แต่ทำไม่ง่ายแน่นอนเพราะเรามีความโลภ ^^ หุ้นที่ผมเข้าซื้อตามจังหวะนี้โอกาสขาดทุนน้อยครับ ^^
       - MACD ซึ่งก็คือค่าเฉลี่ยนการซื้อโดยเราจะนำเส้นแต่เส้นมาเทียบกัน ของผม 5,10,25,100 ซึ่งเราจะใช้ในการดูแนวโน้ม (Trend) ของตลาดว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราอาจแบ่งกราฟเป็น 120 นาที , day , week แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนครับ
       - RSI เป็นตัวที่วัดการแกว่งของหุ้นครับ เพื่อดูแรงการซื้อว่ามากเกินไปหรือน้อยเกินไปรึป่าว ง่ายๆคือ ตัวนี้เขาให้ขายเมื่อมีภาวะการซื้อมากเกิน(แห่กันซื้อเอ๊ะ แมงเม่าหรือเปล่า) และให้ซื้อเมื่อมีภาวะการขายมากเกินไป (คนเทขาย แม่งเม่าชอบขาย อิๆ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น )
       ปล.ผมขอยืนยันเลยว่าใช้ได้จริงครับ อยู่ที่ว่าจะใช้ยังไง ค่อยๆศึกษาครับไม่มีใครเก่งแต่เกิดผมกว่าจะเรียนรู้ได้ก็ใช้เวลาตั้งนานลองเข้าไปดูใน http://wizard-kids2m.blogspot.com/

 เอาล๊ะครับใครมีอารายก็มาแชร์กันได้ครับ ผมก็มือใหม่หัดขับ(อย่างระมัดระวัง) ^^
    
      

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ของจริง มันยังไง !!!

      ผมได้เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดหุ้นหลังจากที่ศึกษามาเรื่อยเปื่อยเป็นเวลานาน ผมเอ๊ะ มันต่างจากเวลาเล่นทดลองในเว็บยังไง อ๊ะแน่นอนเหมือนเวลาคุณมองดูใครสักคนนึง กับ เวลาที่คุณสนใจแล้วเข้าไปขอเบอร์เขามันต่างกันยังไงล๊ะ ก็คล้ายกันแหละครับ ตลาดหุ้นก็เล่นโดยคน เพราะฉะนั้นมันมีอารมณ์หลายอย่างๆเข้ามาเป็นตัวแปร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆนึงดีอย่างไรมันต้องใช้เวลา และนี้คือสิ่งที่คนส่วนมากพลาดไป เพราะคนเราต้องการความพอดีครับ มากไป น้อยไปมันก็ไม่ดี ( ประเดี๋ยวประด๋าวมันไม่จีรังนะครับ ระวังจะปวดหัวทีหลังนะอิๆ อ้าวนอกเรื่องแล้ว 555+ )

ก้าวแรกก่อนเข้าตลาดหุ้น

       คำแนะนำสำหรับมือใหม่แบบผมคือ ให้ทำการศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆ ถ้าจะเอาในอินเตอร์เน็ตก็ http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib.shtml ซึ่งก็เบื้องต้นครับง่ายๆสบายๆ และผมก็รู้ด้วยว่าคนส่วนมากจะคันไม้คันมืออยากเล่นเพราะคิดว่ากูได้แน่ๆ(ผมไม่เถียงนะว่าอาจจะได้แต่แล้วเราก็จะเสียและเสียมากขึ้นไปอีก เพราะ เรายังไม่ได้ศึกษาทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ และ ตัวเองครับ ย้ำนะครับ ต้องศึกษาตัวเอง )
และการไปซื้อหนังสือมาอ่าน ที่ผมแนะนำก็คือ หนังสือประสบการณ์ก่อนฮะ เพราะมันจะเปิด vision ให้กับเรา เราจะได้เรียนรู้โลกได้มากยิ่งขึ้น ผมขอแนะนำ หนังสือของ พี่ภารวิทย์ และจากค่าย stock2morrow ครับ หรือจะเข้าไปดูการรวมตัวของนักลงรายย่อย(แบบเรารึป่าว อิๆ ) http://www.stock2morrow.com/
เอาละครับเมื่อเริ่มศึกษาได้ในระดับนึงแล้วเรามา ลอง Paper Trading หรือเข้าไปลองเล่นใน http://click2win.settrade.com/SETClick2WIN/index.jsp โอเคและนี้คือก้าวแรกและคำแนะนำของผมในการเข้าสู้ตลาดหุ้น อย่าคิดไปสู้กับมัน เพราะจิงๆแล้วเราก็แค่สู้กับความคิดตัวเองครับ ^^

เล่าสู่กันฟัง 15 วันนับแต่เข้า trade จริงในตลาดหลักทรัพย์

-บล็อคนี้เขียนเพื่อเตือนสติตนเอง หรือ เพื่อนๆบางคนที่อาจเข้ามาดูบล็อค(เล็กจิ๋วๆ)ของผมนะครับ
   -ประสบการณ์
   -ข้อคิดที่ได้(มีประสบการณ์แต่คิดไรไม่ได้ก็แย่แล้วเนอะ ^^ )
-เขียนถึงหุ้นบางตัวที่ผมเทรดและวิธีของผม(ง่ายๆฮะผมชิวๆ)